Fuyuzora no Perseus (Chapter 1)

posted on 7/26/2560 04:42:00 หลังเที่ยง by VermillionEnd Categories:
เนื้อหาด้านล่างเผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ที่ http://vermillionend.exteen.com

คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจาก Official Web Site (minori)

冬空のペルセウス
Fuyuzora no Perseus
The craven under the winter sky
เพอร์ซีอุสแห่งฟากฟ้ายามฤดูหนาว
เรื่องราวของ โทโนะ ชินระ 01





Fuyuzora no Perseus บทที่ 1


ตอนนี้เป็นหน้าร้อน                                                       
นึกถึงเรื่องปกติแบบนั้น

ปิดเทอมหน้าร้อนก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เป็นพักเที่ยงของวันพรุ่งนี้
เพราะต้องการคลายความง่วงหลังมื้ออาหารกลางวัน ผมก็เลยย้ายเก้าอี้ไปนั่งตรงหน้าต่างของห้องเรียน นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร
โรงเรียนที่อยู่บนภูเขานี่ถูกต้นไม้บดบังก็จริง แต่แสงอาทิตย์ที่สว่างเป็นบ้าก็ยังส่องลงมาได้ สะท้อนสีเขียวเข้มของต้นไม้ออกมา
นี่ ชินระ ชนบทเนี่ย เย็นขนาดนี้เลยรึไงนะ
โทโนะ เร็น------น้องสาวของผมที่ยืนอยู่ข้างหลังและกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดียวกัน พูดพึมพำขึ้นมาด้วยท่าทางสนุกสนาน
จริงด้วย อาคารเรียนเก่าๆ ที่สร้างจากไม้หลังนี้ทั้งๆ ที่ไม่มีแอร์แท้ๆ แต่กลับเย็น
อืม คงเป็นเพราะไม่ค่อยมีควันพิษกับตึก และที่สำคัญคงเป็นเพราะการระบายอากาศที่ดีล่ะมั้ง
 หน้าหนาวคงหนาวนรกเลยสินะ”                                                                              
จากคำพูดลอยๆ ของผม ดูเหมือนว่าเร็นจะตอบกลับมาอย่างสนุกสนาน
เหมือนกับว่าถ้าเป็นเหมือนนรกแล้วล่ะก็จะยิ่งสนุก
แต่ว่า ถ้ามีฉันอยู่ล่ะก็ชินระจะไม่หนาวนะ
ตุบ! เร็นเข้ามากอดด้านหลังศีรษะของผม
......เฮ้ เร็น
อะไรเหรอคะ ท่านพี่
มันร้อนน่ะ อย่าเข้ามาเกาะแกะสิ แล้วก็หยุดเรียกแบบนั้นด้วย รู้สึกไม่ค่อยดี
ชินระเนี่ยเรื่องมากจัง
ถึงจะบ่นอุบอิบก็จริง แต่ดูเหมือนว่าน้องสาวของผมจะไม่คิดจะออกห่างจากตัวผมเลย
จะว่ายังไงดีนะ ไอที่อยู่บนหัวของชั้นเนี่ยคือ.....
หน้าอกของฉัน นมน่ะ
“……ออกไป
พอทำแบบนี้แล้ว รู้สึกสบายมากเลยนะ
เร็นที่ร่างกายเล็กแต่กลับโตแค่หน้าอกนั้น กอดศีรษะของผมและพักผ่อนด้วยความผ่อนคลาย
ส่วนทางนี้ก็ถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ในขณะที่กำลังล้อเล่นกันแบบนั้นเหมือนทุกทีนั้นเอง ก็มีเสียงเรียกมาจากที่อื่น
อะ นี่นี่ ชินคุงกับเร็นจังเคยอาศัยอยู่ที่ชิบุยะหรือไม่ก็ฮาราจูกุรึเปล่า
พอหันหน้าไปมองทั้งๆ ที่หน้าอกของเร็นยังอยู่บนศีรษะก็พบกับเพื่อนร่วมห้อง มินาคาวะ ซุย, ฮิชิดะ อายะเมะและซาวาตาริ โทวกะ ทั้งสามคนกำลังจ้องมองมาทางนี้พร้อมกับคาดหวังอะไรบางอย่าง




ชิบุยะหรือฮาราจูกุงั้นเหรอ
เพราะว่าใกล้จะปิดเทอมหน้าร้อนแล้ว เลยคุยกันอยู่ว่าอยากจะไปที่ไหนกันน่ะ
ซุย------เด็กผู้หญิงที่เป็นญาติห่างๆ ของญาติของพวกเราสองพี่น้องได้ยื่นนิตยสารที่ดูเหมือนจะเป็นนิตยสารข้อมูลข่าวสารมาทางนี้และกางออก
อย่างงี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว
ทั้งสามคนที่เติบโตมาในหมู่บ้านเท็นเรียวนี่อยากรู้เรื่องราวในเมืองจากผมหรือเร็นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เคยไปที่ชิบุยะกับฮาราจูกุก็จริงอยู่ แต่ไม่เคยอาศัยอยู่หรอกนะ
“……สถานที่ที่คนเยอะแบบโน้น ไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปใกล้เลยด้วย
เร็นพูดพึมพำเบาๆ
สำหรับพวกเราสองพี่น้องที่แค่สัมผัสตัวคนอื่น ความเจ็บปวดก็จะถูกย้ายมาที่ตัวเองแล้วนั้น แค่ฝูงชนก็ทำให้พวกเราหวาดกลัวได้แล้ว
มนุษย์ที่เดินอยู่ในเมืองนั้นส่วนใหญ่มีสุขภาพดี แต่ว่าก็ยังมี ความเจ็บปวดในชีวิตประจำวันอยู่  ความเจ็บปวด  มากมายในช่วงที่เดินอยู่ที่ชิบุยะหรือฮาราจูกุนั้นคืออาการเจ็บแขนหรือขาจากการทำกิจกรรมชมรม, อาการปวดหัวหรือเป็นไข้จากหวัด------โดยเฉพาะผู้หญิงช่วงที่เป็นประจำเดือนที่พอไปชนเข้าก็จะรู้สึกแย่มาก
ความเจ็บปวดของแต่ละคนนั้นเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าเมื่อความเจ็บปวดนั้นสะสมเพิ่มพูนขึ้นล่ะก็จะกลายเป็นเรื่องน่ากลัว
แต่ว่าถ้าเคยไปล่ะก็ หมายความว่าเคยอาศัยอยู่ใกล้แถวนั้นสินะ
ซาวาตาริ โทวกะ------ที่กำลังทรมานกับโรคที่รักษาไม่หายและเป็นเด็กผู้หญิงคนที่ผมกับเร็นไม่อาจสัมผัสตัวได้นั้นได้ใช้ลางสังหรณ์ที่ไม่ธรรมดาคาดเดา
อา ถ้าเป็นชินจูกุล่ะก็เคยอาศัยอยู่น่ะ แต่ยังไงก็คงไม่เกี่ยวกัน
ใช่โอคุบะรึเปล่า หรือว่าทากาดะโนะบาบะ
ดูเหมือนว่าเร็นจะจำไม่ค่อยได้เพราะช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่นั่นค่อนข้างสั้น
ที่สำคัญในช่วงเวลาที่อยู่ที่ชินจูกุนั้น เร็นที่เกลียดฝูงชนรู้สึกอยากจะอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหนเลยตลอด
แต่ว่า สำหรับผมนั้น------ที่เมืองโน้นมีความทรงจำอยู่หนึ่งอย่าง
เป็นความทรงจำที่สำคัญและขมขื่น
“…………”
ผมมองออกไปนอนหน้าต่าง
ตอนนี้คือฤดูร้อน
แต่ว่าวันนั้นเป็นฤดูหนาว




เดือนธันวาคมของเมื่อสี่ปีก่อน
ลืมวันที่แน่นอนไปแล้วก็จริง แต่เป็นช่วงใกล้คริสต์มาส
ผมจำเรื่องที่มองดวงไฟประดับประดาหรูหราและคนในเมืองที่รื่นเริงกับงานเทศกาลด้วยความวิงเวียนและเกลียดชังได้
ในวันนั้นพอโรงเรียนที่ผมเพิ่งย้ายมาและยังไม่คุ้นเคยเลิก ผมก็เดินเข้าไปที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีชินจูกุทั้งๆ อย่างนั้น




เพราะเสร็จธุระในห้องๆ หนึ่งจากห้องที่เรียงรายกันอยู่ในตึกผู้ป่วยในแล้ว ก็เลยเดินผ่านไปโดยทิ้งห้องอื่นๆ ไว้เบื้องหลัง
ถ้าตายไปก็ดีสิ
ในขณะที่กำลังเดินอยู่บนทางเดิน ก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับตัวเอง
คำพูดนั่นไม่ได้มีความหมายอะไร
แล้วก็ไม่ได้พูดกับใครเช่นเดียวกัน
แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่า ถ้าตายไปก็ดีสิโดยที่ไม่ได้พูดกับใครเลย
ผมกับเร็นสองพี่น้องที่ไม่มีญาตินั้นได้ถูกญาติส่วนหนึ่งบังคับให้ใช้พลังพิเศษนั่น------พลังย้ายความเจ็บปวดจากคนอื่นมาไว้ที่ตัวเองเพื่อทำเงิน ถ้าไม่ให้ความร่วมมือล่ะก็อาจจะไม่ได้ทั้งที่นอน ทั้งอาหาร ทั้งที่อยู่อาศัย เพราะแบบนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
จนกว่าจะถึงตอนที่เร็นโตขึ้นอีกหน่อย ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากอดทน
แต่ว่า วันนี้เป็นงานสบายแฮะ
ทั้งๆ ที่เพิ่งใช้พลังไปแท้ๆ แต่ร่างกายยังดีอยู่ หายากแฮะ
ถ้าเป็นทุกทีล่ะก็ พอถูกให้ย้ายอาการบาดเจ็บหรืออาการป่วยมาแล้ว จะกลับไปด้วยสภาพร่างกายที่แย่สุดๆ แต่วันนี้แค่นิ้วชี้กับนิ้วกลางของมือซ้ายชานิดหน่อยเท่านั้น ความเจ็บปวดมีแค่นั้น
พรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้คงหายสนิท
ในทุกครั้งจะไม่ได้รับข้อมูลของคนไข้------ไม่สิเรียกว่า ลูกค้าน่าจะถูกต้องกว่า มีอยู่สองวิธีคือถูกนัดหมายไว้ให้มาที่นี่หรือไม่ก็ถูกลากตัวมาที่นี่ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน วิธีการก็ไม่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องตรวจร่างกายเหมือนที่แพทย์ทำ เพราะแค่ไปสัมผัสก็อีกฝ่ายโดยตรงก็ใช้ได้แล้ว
ยังไงก็ตามผู้หญิงวัยกลางคนที่เป็นลูกค้าวันนี้นั้นบอกว่าตัวเองเป็นนักดนตรี
ไม่รู้ว่าเป็นแฟน, สามีหรือคนรัก แต่ว่าเป็นเพราะทะเลาะกับผู้ชายก็เลยเจ็บนิ้ว------แล้วเธอก็มาเล่าถึงความแค้นของเธอซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นการก่นด่ามากกว่าให้ผมฟัง
ไม่รู้ว่าเธอจ่ายเงินไปกับอาการบาดเจ็บของเธอเท่าไร แต่ว่าเพราะไม่อยากให้เป็นปัญหากับการเล่นดนตรี ไม่อยากจะเหลืออุปสรรคแบบนั้นไว้ที่นิ้ว แล้วดวงตาของเธอก็แสดงให้เห็นถึงประกายของความแน่วแน่ออกมา
เรื่องที่ผมรู้งั้นเหรอ ในขณะที่กำลังคิดว่านิ้วจะหักไหมนั้น ผมก็ยื่นนิ้วสองนิ้วของมือซ้ายไปจับ แล้วก็ย้ายความเจ็บปวดมาไว้ที่ตัวเอง
แค่นั้น
เป็นงานแค่นั้น
“……แค่นั้น
ต้องทำเรื่องแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กันนะ
อยากจะหนีไปเร็วๆ
ไปที่ไหนซักแห่งไกลๆ
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องแบบนั้นอยู่ ก็มีอะไรวิ่งผ่านตัวผมไป
นางพยาบาลคนหนึ่งวิ่งไปที่ศูนย์พยาบาล หันหน้าไปเรียกพนักงานที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์
เอ่อ โกโก้จังไม่อยู่ในห้อง ไปตรวจร่างกายรึเปล่านะ
เอ๊ะ เป็นไปได้ยังไง เดี๋ยวขอลองไปดูก่อนนะ




เด็กคนนั้น......แอบหนีไปอีกแล้วรึเปล่านะ
นางพยาบาลคนที่ส่งเสียงเรียกถอนหายใจให้กับพนักงานที่กำลังเคาะคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์อยู่
“……โกโก้งั้นเหรอ
ก็ไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นอะไรหรอก แต่ว่าชื่อนั้นกลับคาใจผมซะได้
ไม่ใช่หมาหรือแมวซะหน่อย เป็นชื่อของคนที่เข้าโรงพยาบาล แถมยังเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นชื่อของเด็กอีกด้วย------เขียนด้วยคันจิแบบไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเป็นชื่อของคนที่ใช้ชื่อที่ฟังดูโง่ๆ แบบนี้งั้นเหรอ
ไม่อยู่จริงๆ ซะด้วยสิ
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น ก็ออกมาจากโรงพยาบาล
เพิ่งน่าจะเลยห้าโมงเย็นมาได้ไม่นาน แต่ว่าเป็นเพราะใกล้ช่วงที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดของปีรึเปล่านะ ข้างนอกก็เลยมืดแล้ว
ใส่เสื้อโค้ทคลุมทับชุดนักเรียนไปแล้วก็จริง แต่ว่าสายลมก็ยังหนาวเหมือนกับจะทิ่มแทงเข้ามา
ถ้าอากาศไม่ดีล่ะก็หิมะอาจจะตกก็ได้ แต่ว่าท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่
แต่ก็มองไม่เห็นดาว
เมืองนี้สว่างเกินไป
มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็หายใจออกมาเป็นลมหายใจสีขาว
เพื่อที่จะกลับบ้านก็เลยคิดจะไปทางสถานีชินจูกุ แต่ว่าพอเห็นกระแสของฝูงชนแล้วเลยยอมแพ้
ในเวลานี้บริเวณรอบๆ สถานีชินจูกุนั้นเต็มไปด้วยคน ยามาโนเตะก็คงจะแน่นไปด้วยคนเช่นเดียวกัน
ไม่ชอบโรงพยาบาลก็จริง แต่ว่าชินจูกุที่เป็นเมืองที่คนเยอะที่สุดในญี่ปุ่นนั้นแย่ยิ่งกว่า
เดินไปคงจะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง พอคิดได้แบบนั้น ผมก็เลือกถนนเส้นที่มีคนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วก็เดินออกไป
แถวๆ นี้ ใช่คาบุกิโจวที่ดังๆ นั่นรึเปล่านะ ร้านเหล้า, ซ่องโสเภณี, ร้านที่ไม่รู้เหมือนกันว่าขายอะไรแล้วก็ที่สำคัญร้านที่ไม่รู้ว่าเป็นร้านรึเปล่าตั้งเรียงกันอยู่มากมาย ถนนหลักนั้นดูเป็นถนนธรรมดา แต่ถ้าวนไปข้างหลังแม้แต่ป้ายสัญลักษณ์ก็ไม่ได้มีแค่ภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุ่น แต่กลายเป็นว่าเต็มไปด้วยคำของหลายๆ ประเทศเขียนอยู่
คนเรียกลูกค้าทุกคนยืนอยู่ แต่ว่าพอเห็นผมที่ใส่ชุดนักเรียนก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียกแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็รู้ตัวแล้วว่าได้ตกเป็นเป้าสายตา ดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะไม่ค่อยดีซะแล้วและเป็นเวลาที่เริ่มคิดว่าทำพลาดไปนิดหน่อยรึเปล่า
ในทันทีนั้นเอง ก็ได้เห็นก้อนสีชมพูเด่นชัดอยู่ตรงซอกระหว่างตึกสีเทากับตึกสีเทา
แล้วพอจ้องไปที่อะไรซักอย่างนั่นก็พบว่าเป็นเด็กผู้หญิงในชุดนอนสีชมพูกำลังนั่งกอดเข่าอยู่
ถึงจะแปลกใจ แต่ก็ได้ตัดสินใจว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง แล้วก็เดินเลยไปทั้งๆ อย่างนั้น
พอก้าวต่อไปได้ราวๆ 50 เมตร------ผมก็หยุดเดิน
“……บ้าเอ๊ย
ผมหันกลับไปแล้วเดินกลับไปที่ถนน
ผมโกรธตัวเอง
ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เดินผ่านไป  แต่โกรธตัวเองที่ย้อนกลับไปที่ถนนนั่น
เฮ้

ผมยื่นมือไปแตะที่กำแพงคอนกรีต แล้วก็มองลงไปที่ก้อนสีชมพู




ไหล่ของเธอเริ่มขยับ เด็กสาวได้หันหน้ามามอง
เพราะชุดนอนทำให้ผมคิดว่าเธอน่าจะเด็กกว่านี้ เธอมีอายุรุ่นราวคราวเดียวผมงั้นหรือนี่
ความซีดของผิว ผมที่ยาวจนเกินไป ชุดนอนที่ไม่เข้ากับขนาดตัวทำให้ส่วนหน้าอกดูอึดอัด------เพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมนึกไปถึงร่างที่โตเป็นผู้ใหญ่ของเร็นที่เป็นน้องสาว
ทำอะไรอยู่งั้นเหรอ คนที่หนีออกจากโรงพยาบาลใช่เธอรึเปล่า
คนของโรงพยาบาลเหรอ
ชินกับเรื่องการหนีออกจากโรงพยาบาลแล้วรึไงนะ เด็กสาวตอบผมกลับมาโดยไม่มีท่าทีที่หวาดกลัวมากเกินไป
เปล่า ชั้น โทโนะ ชินระ เป็นอย่างนั้นล่ะ
ถึงจะบอกว่าเป็นนักเรียนที่บังเอิญผ่านมา ก็คิดว่าคงจะฟังไม่ขึ้น
พอกำลังนึกไม่ออกว่าจะแนะนำตัวยังไงดี เด็กสาวก็เป็นฝ่ายเริ่มแนะนำตัวขึ้นมาก่อน
ฉันชื่อคาสุกะ โกโก้
โกโก้สินะ เขียนยังไงเหรอ
เผลอถามออกไปจนได้
คำว่าหัวใจ () กับความรัก () จะได้เป็นโกโก้ (心愛)
เคยได้ยินคำถามแบบนี้มาบ่อยแล้วสินะ เด็กสาวตอบคำถามผมได้ราวกับคุ้นเคยกับสถานการณ์ ถึงจะเป็นชื่อที่ฟังดูบ้าๆ แต่ว่าถ้าคันจิกับวิธีอ่านเข้ากันล่ะก็ ก็ยังดี
กลับคนเดียวได้ไหม
ถึงจะคุยกันต่อไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ผมเลยถามออกไปตรงๆ
เหนื่อย แล้วก็รู้สึกไม่ค่อยดี
ถึงเธอจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาที่ใบหน้า แต่ดูเหมือนว่าอาการจะไม่ค่อยดี
ถ้าอย่างนั้น ยืนไหวไหม
“……ยืนไม่ไหว
จริงๆ เลยแฮะ
ถ้าเป็นแบบนั้นเธอหนีออกมาได้ยังไงกันนะ------ไม่ใช่เรื่องกวนใจขนาดที่จะต้องถาม แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่ดี
เป็นอย่างที่คิดไว้ เธอไม่สามารถกลับเองได้
ก็อยากจะแจ้ง 119 แล้วฝากเรื่องหลังจากนั้นให้จัดการ แต่ว่าก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรและโรงพยาบาลก็อยู่ตรงหน้า
เอ้า ยื่นมือมาสิ
เพื่อจะช่วยให้เธอยืนขึ้นผมก็เลยยื่นมือไป
ถ้าเป็นคนที่เข้าโรงพยาบาลล่ะก็ คงมีส่วนไหนที่ผิดปกติอยู่------แต่ว่า ถ้าย้ายความเจ็บปวดมาไว้ที่ผมแล้วล่ะก็ ก็น่าจะฟื้นตัวพอที่จะเดินได้ ผมเตรียมตัวพร้อมรับ ความเจ็บปวด
ดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่ใช้ชื่อว่าโกโก้จะงงอยู่นิดหน่อย แต่เธอก็จับมือกับผมอย่างว่าง่าย
ในพริบตาที่สัมผัสได้ถึงของอุ่นๆ ที่ฝ่ามือ------จู่ๆ ก็เจ็บแถวๆ บริเวณอก
......อึก




เอ๊ะ
ในเวลาเดียวกันกับที่ผมต้องแบกรับความเจ็บปวด โกโก้ที่จู่ๆ ก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วก็ประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเอง
เพราะไม่สามารถที่จะทนต่อไปได้ ผมรีบดึงมือกลับมาภายในไม่กี่วินาที
ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดที่อกเท่านั้น ในตอนที่เธอพูดก็เกิดความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นที่ท้อง
จากประสบการณ์ โรคที่เกี่ยวกับหัวใจนั้นจะมีอาการอื่นแทรกซ้อนเข้ามามาก
เอ่อ เป็นอะไรไหม
โกโก้มองขึ้นมาที่ผมที่จู่ๆ ก็กัดฟันโดยที่ไม่ตั้งใจ
“……อา
ผมถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้เธอสัมผัสตัวผม
เรื่องจับมือก็ด้วย ผมไม่สามารถทำได้
อย่าไปใส่ใจเลยน่า......รีบกลับไปที่โรงพยาบาลกันเถอะ
อืม
เพราะว่าเธอรู้สึกดีขึ้นแล้วงั้นเหรอ เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วก็เดินออกไปแล้ว
ชุดนอนสีชมพูที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างโซเซในยามสนธยานั้นดูคล้ายกับปลาทอง
พอคิดแบบนั้น แสงของหลอดไฟนีออนรอบๆ ก็ทำให้นึกถึงแสงสว่างจากตะเกียงกระดาษของงานวัดได้ด้วยเหมือนกัน
ร่างในชุดนอนสีชมพูที่ไม่ตรงกับขนาดตัวนั้นเป็นที่สนใจของสายตารอบข้าง-----แต่ว่าเพราะชินจูกุเป็นเมืองที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ คนอื่นก็เลยเบนสายตาไปทางอื่นในทันที
โกโก้เองก็ไม่ได้สนใจเรื่องรอบตัวเช่นกัน
ในขณะที่ผมกำลังไล่ตามร่างนั้นที่ค่อยๆ ห่างออกไป ผมก็เอามือจับอกของตัวเองที่ยังไม่หายจากความเจ็บปวดเมื่อครู่ไว้แน่น
ผมรู้จักความเจ็บปวดนี่
หมอคงจะรู้สินะ
แล้วพ่อแม่ของผู้หญิงคนนี้ล่ะ
เรื่องจะเป็นยังไงก็ช่าง
มันไม่เกี่ยวกับผม
ในขณะที่กำลังแบบนั้นอย่างใจเย็น ผมก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่ง

ผู้หญิงคนนี้ กำลังจะตายในอีกไม่นาน