เนื้อหาด้านล่างเผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ที่ http://vermillionend.exteen.com
คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจาก Official Web Site (minori)
冬空のペルセウス
Fuyuzora no Perseus
The craven under the winter sky
เพอร์ซีอุสแห่งฟากฟ้ายามฤดูหนาว
เรื่องราวของ โทโนะ ชินระ 03
Fuyuzora no Perseus บทที่ 3
พอรู้ตัวก็เป็นเวลาหลังเลิกเรียนแล้ว
ในห้องเรียนที่ไม่มีใครอยู่ ผมนั่งบนเก้าอี้และเหม่อลอยฆ่าเวลาอยู่คนเดียว
ตอนนี้เป็นฤดูร้อน
รู้ได้ถึงเสียงร้องของจักจั่นและแขนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ถ้าไม่เป็นแบบนั้นก็คงเหมือนกับถูกดึงไปในอดีต------ถูกดึงไปในฤดูหนาว
ด้ายแห่งความทรงจำได้ถูกกรอกลับ
ที่ปลายด้ายนั้นไม่มีอะไรอยู่ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีคำตอบให้แต่......
“......ทำไมชั้นถึงได้มานึกเรื่องนั้นเอาป่านนี้กันนะ”
พูดพึมพำไปเพราะความแปลกใจจนได้
จริงๆ แล้ว เรื่องแค่นั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเศร้าอะไร
เพราะลืมเรื่องของโกโก้ที่ใส่ชุดนอนสีชมพูอยู่ตลอดไปหมดจนมาถึงวันนี้
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผมกับเร็นที่เป็นน้องสาวจะไปที่ไหนก็ต้องเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นอย่างช่วยไม่ได้
เพราะแบบนั้น คิดว่าดีแล้ว
“จะยังไงก็ช่าง”
ถึงจะมานั่งฆ่าเวลาอยู่ในที่แบบนี้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
หลังจากที่ยัดหนังสือเรียนกับสมุดโน๊ตใส่กระเป๋าและเพิ่งออกจากห้องเรียน ก็ตัดสินใจไล่ตามความทรงจำในอดีตที่มีเพียงอย่างเดียวไป
ไม่ได้มุ่งหน้าไปทางตู้รองเท้า แต่ไปเปิดประตูห้องสมุดที่อยู่ใกล้ๆ
“อ๊ะ คุณชินระมาห้องสมุดเนี่ย หายากนะคะ”
ในทันทีนั้นเองก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมา
ในขณะที่ ฮิชิดะ อายาเมะ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างกำลังแกว่งผมที่มัดไว้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตนเองอยู่นั้น ความเย็นก็ถูกลมพัดเข้ามา
“ทางอายาเมะที่อ่านหนังสือได้โดยไม่หลับน่าจะแปลกกว่า”
“โธ่ ! คุณชินระยังเสียมารยาทเหมือนเดิมเลยนะคะ! แต่ว่าความเยือกเย็นนั่นเป็นเอกลักษณ์ของคนในเมืองสินะคะ!”
ทั้งๆ ที่ตอนแรกอายาเมะโกรธอยู่แท้ๆ แต่ระหว่างที่พูดก็สงบลงแล้วก็มีใบหน้ายิ้มแย้ม
เป็น “คุณหนู” ตัวจริง ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งวิธีการพูด แล้วก็ความหัวอ่อนว่าง่าย ดูยังไงก็เป็นคุณหนูชัดๆ
ไม่สิ สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือก็เรื่องที่เธออายุมากกว่าพวกเราทุกคน แล้วก็นึกถึงเรื่องที่ในตอนแรกที่พบกันนั้นเคยคิดว่าเธอน่าจะอายุเท่ากับเร็นที่เป็นน้องสาวขึ้นมา
“ว่าแต่ ถ้ามีคุณชินระผู้เยือกเย็นอยู่ล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องปรับอากาศแล้วสินะคะ จะให้เรียกว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับภาวะโลกร้อนดีไหมล่ะคะ?”
“ถึงเรื่องที่พูดจะค่อนข้างคลุมเครือ แต่มีแค่เรื่องที่กำลังถูกอายาเมะพูดจาเสียมารยาทใส่อยู่เท่านั้นที่เข้าใจ”
“ยอดเยี่ยมมากค่ะ”
ถึงบทสนทนาจะเป็นไปคนละเรื่อง แต่เพราะนี่เป็นปกติของอายาเมะอยู่แล้วก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
ผมตัดสินใจว่าจะทำธุระให้เสร็จเร็วๆ
“นี่อายาเมะ ห้องสมุดนี้มีหนังสือเรื่อง The Glorious Team Batista (チーム・バチスタの栄光) อยู่รึเปล่า”
“หนังสือที่เพิ่งดังเมื่อไม่นานมานี้น่ะเหรอคะ?”
ในขณะที่อายาเมะเอียงหัวไปด้านข้างคิดอะไรบางอย่าง เธอก็ลุกจากเก้าอี้
เพราะไม่มีตำแหน่งบรรณารักษ์หรืออะไรทำนองนั้นอยู่ ทำให้ในขณะที่เธอทำตัวเป็นสาวน้อยวรรณกรรม เธอก็ไม่ใช่แค่นักอ่าน อายาเมะเป็นเหมือนบอสของห้องสมุดแห่งนี้
“จะมีหรือไม่มีกันนะ......”
เธอลุกขึ้นยืนแล้วก็จ้องไปที่ชั้นหนังสือ
“คุณชินระยังไม่เคยอ่านเหรอคะ”
“เคยมีอยู่ แต่ว่ายังไม่ได้อ่านก็ขายไปซะแล้ว”
“...... เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ เรื่องนั้น?”
“มีเรื่องอะไรหลายๆ อย่างน่ะ”
ในขณะที่เดินตามหลังเธอไป ผมก็พูดขึ้นมาลอยๆ
“ว่าแต่ หนังสือที่นี่น่ะ ส่วนใหญ่เป็นของบริจาครึเปล่า”
“ค่ะ เพราะโรงเรียนไม่ได้ให้เงินไปซื้อหนังสือใหม่ เลยไม่ใช่แค่ส่วนใหญ่ แต่เกือบทั้งหมดเป็นของบริจาคค่ะ
ในขณะที่อายาเมะเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ไม่มีเล่มแรกมีแค่เล่มสุดท้ายบ้างล่ะ ทั้งๆ ที่เป็นหนังสือชุดแท้ๆ แต่กลับมีแค่เล่มห้าบ้างล่ะ แถมยังมีหนังสือกระจัดกระจายกันอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ”
“เหมือนร้านหนังสือมือสองที่มีหนังสือชุดไม่ครบเลยนะ”
“ก็เป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ แต่ว่าเพราะแบบนี้ ในทางกลับกันอาจจะมีหนังสือยอดนิยมนั่นอยู่ที่ไหนซักแห่งก็ได้นะคะ”
อายาเมะวางมือลงบนที่สูงของชั้นหนังสือแล้วเขย่งขึ้นไปมอง
ในทันทีนั้นเอง ก็สังเกตเห็นว่าหน้าอกที่ใหญ่ของเธอ------ที่พูดได้ว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาเพื่อน ได้ดันเข้าและเบียดกับชั้นหนังสืออย่างหยาบโลน จะยังไงก็ตาม ถึงจะมาที่ห้องสมุด แต่แค่ได้มาเห็นภาพแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนกับได้เงินทอนคืนมาแล้ว
“น่าเสียดายนะคะ แต่ว่ามองผ่านๆ แล้วไม่เจอเลยค่ะ”
ในขณะที่อายาเมะปัดฝุ่นออกมาจากมือ ก็ถอนหายใจออกมา
“ในห้องเก็บของยังมีหนังสือที่ถูกยัดลงกล่องกระดาษไปทั้งๆ อย่างนั้นอยู่ด้วยค่ะแต่ว่า”
“ไม่ ไม่ต้องไปหาถึงขนาดนั้นก็ได้”
ผมส่ายหน้า
“ก็แค่อยากอ่านขึ้นมาเพราะอะไรบางอย่างเท่านั้นล่ะ”
“เรื่องนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่คุณชินระแปลกๆ ไปตั้งแต่ช่วงเที่ยงรึเปล่าคะ”
“......ไม่ใช่แค่ซุย แต่แม้แต่อายาเมะก็สังเกตเห็นด้วยงั้นเหรอ”
หน้าแตกโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว
กับตัวผมที่เป็นแบบนั้น อะแฮ่ม! อายาเมะยืดอกอย่างภูมิใจ
“ฉันอาจจะอ่อนต่อโลกก็จริง แต่ว่าก็ไม่ใช่คนที่ไม่ระวังตัวเลยนะคะ ฉันก็รู้ตัวว่าคุณชินระมองหน้าอกของฉันอยู่เหมือนกันค่ะ”
“เอาเป็นว่าการมองไปที่หน้าอกหรือขาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นเป็นธรรมชาติของผู้ชาย ก็เลยช่วยไม่ได้น่ะ แล้วก็การพูดเรื่องที่เหมือนกับเป็นการยั่วต่อหน้าผู้ชายโดยที่ไม่ระมัดระวังน่ะ ก็เรียกว่าเป็นการไม่ระวังตัวนะ”
“คะ?”
พอไม่เข้าใจความหมาย อายาเมะก็เอียงศีรษะไปด้านข้าง
“ว่าแต่คุณชินระ ทำไมถึงได้อยากอ่านหนังสืออย่าง The Glorious Team Batista เอาป่านนี้เหรอคะ? นั่นเป็นนิยายสืบสวนเกี่ยวกับการรับมือกับการรักษาโรคหัวใจที่ผิดพลาดสินะคะ”
“เมื่อนานมาแล้ว มีคนที่อ่านหนังสือเรื่องนั้นอยู่ตอนที่เข้าโรงพยาบาลน่ะ”
พูดให้เข้าใจผิดไปซะแล้วสิ แล้วผมยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ
※
“ใกล้จะถึงคริสต์มาสแล้วสินะ”
โกโก้มองลงไปที่เมืองชินจูกุจากหน้าต่างของห้องคนไข้ด้วยตาที่เป็นประกาย
เพิ่งเลยห้าโมงเย็นไปไม่นาน แต่ข้างนอกมืดไปหมดแล้ว
พอมองไปที่แผ่นหลังของโกโก้ในชุดนอนสีชมพู------เพราะไม่มีคำพูดอะไรที่จะใช้เรียกเธอ ก็เลยเบนสายตาไปยังหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะข้างแทน
“The Glorious Team Batista นี่ ใช่อันที่ครึ่งปีก่อนได้ทำเป็นภาพยนตร์รึเปล่า”
“ใช่แล้วล่ะ ก็สนุกดีนะ แต่ว่าค่อนข้างต่างกับที่คิดไว้นิดหน่อย”
“เป็นนิยายสืบสวนที่เกี่ยวกับการแพทย์สินะ?”
“ก็เป็นอย่างนั้นล่ะแต่ว่า...... ก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ให้ความรู้สึกแบบ หายจากโรคที่ไม่มีทางรักษาได้เพราะปาฏิหาริย์ น่ายินดีๆ มากกว่านี้หน่อยน่ะ”
“อ่อนต่อโลกเกินไปแล้ว”
บางที อาจเป็นเพราะแค่สนใจเรื่องที่เกี่ยวกับโรคหัวใจเฉยๆ ล่ะมั้ง
“เพราะแบบนั้น ยังไงก็เอาหนังสือเล่มนี้ให้ชินระคุงด้วยดีไหมนะ”
“ถ้ารับไว้ได้ล่ะก็นะ”
ในตอนขากลับ ถ้าเอานี่ไปที่ร้านหนังสือมือสองล่ะก็คงจะได้เงินมานิดหน่อย
วันนั้น โกโก้ที่รู้ว่าตัวเองจะตายนั้นได้ให้ของหลายๆ อย่างกับผมราวกับให้เป็นของดูต่างหน้า พอบอกว่ามีน้องสาวอยู่ด้วย เธอถึงกับให้ครอบครัวเอาเสื้อผ้าผู้หญิงที่อยู่ที่บ้านมาให้ แล้วบอกว่า “ยังไม่ได้ใส่เลยซักครั้ง เลยอยากให้ใส่น่ะ” และยื่นมาให้ผม
ไม่ได้หมายความว่ามาเยี่ยมเพราะถูกของล่อ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความเมตตาเช่นกัน
นั่นเป็นเรื่องที่ถ้านำมาเรียงเป็นคำพูดแล้วความหมายจะแตกต่างกันอยู่แต่ว่า------เพราะอะไรบางอย่าง ผมอยากเห็นการตายอย่างธรรมดาๆ ของมนุษย์ซักครั้ง เพราะพลังที่น่าเศร้าทำให้ผมเคยได้สัมผัสกับคนตาย แต่ว่าไม่ว่าจะทำยังไง “ลูกค้า” ที่ตายแล้วของผมนั้นก็ไม่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพราะแบบนั้นความจริงของ “ความตาย” นั้นเป็นเรื่องแบบไหนกันนะ ผมอยากรู้เรื่องนั้นในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
“ชินระคุง ไปเดินเล่นอีกได้ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขออนุญาตชั้นนี่นา”
“กำลังชวนไปด้วนกันอยู่น่ะ”
ในขณะที่เอาเสื้อคาร์ดิแดนคลุมไหล่ โกโก้ก็ฝืนยิ้ม
ถึงจะพูดว่าเป็นการเดินเล่นแต่ก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก เป็นแค่การเดินบนระเบียงทางเดินโดยไม่มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ
ถึงจะนอนอยู่บนเตียงไปก็ทำให้รู้สึกแย่และทำให้ร่างกายฝืดไปเท่านั้น เพราะแบบนั้นพอมาเทียบกันแล้ว การออกมาเดินเล่นเลยดีกว่า
“ว่าแต่ ทำไมถึงได้หนีออกจากโรงพยาบาลไปตั้งหลายครั้งล่ะ”
“หวา เพิ่งมาถามเรื่องนั้นเอาตอนนี้เนี่ยนะ”
โกโก้ยิ้มด้วยท่าทางสนุกสนาน
แล้วก็มองลงไปที่เมืองชินจูกุจากหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ
“เพราะแค่อยากจะเข้าไปมองเมืองชินจูกุที่ส่องประกายเหมือนต้นคริสต์มาสใกล้ๆ มากกว่านี้ล่ะมั้ง”
“มีเรื่องที่ถ้าเฝ้ามองจากที่ไกลๆ แล้วจะมีความสุขมากกว่าอยู่ด้วยเหมือนกันสินะ”
ผมพูดเรื่องที่คิดออกไปทั้งๆ อย่างนั้น
เมืองที่เมื่อมองลงมาจากที่สูงแล้วเป็นเหมือนกล่องอัญมณีก็เช่นกัน ถ้ามองจากพื้นดินก็จะเห็นเป็นของสกปรกอย่างเทียบกันไม่ได้
“ที่ส่องแสงแวววาวนี่เป็นเพราะป้ายของร้านต่างๆ หรือไม่ก็พวกแสงไฟจากตึกสินะ”
“ใช่แล้วล่ะ...... อืม เป็นอย่างนั้นล่ะ”
โกโก้คิดจะยิ้ม แต่ว่าดูเหมือนร่างกายจะแย่ลง แล้วก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
ในขณะที่เธอกดหน้าอกที่ไม่เคยใส่บราของเธอเอาไว้ ตุบ! หน้าผากของเธอก็ไปชนกับหน้าต่าง
“แต่ว่าฉันก็อยากจะลองไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนพวกนั้นตรงๆ น่ะ”
“ต่อให้ดูไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก”
“ชินระคุงเนี่ย เอาจริงเอาจังจังเลยน้า”
พอหัวเราะคิกคักแล้วโกโก้ก็ยิ้ม
“ดูเหมือนว่าถึงฉันจะตายก็ช่างสินะ แต่พอมาเป็นแบบนี้แล้วคุยด้วยง่ายขึ้นนะ”
“แล้วทุกทีเป็นคนคุยด้วยยากงั้นเหรอ”
บ่นพึมพำออกไปแบบเดียวกับที่บ่นกับคนอายุน้อยกว่าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว
“เพราะว่ากำลังชมอยู่น่ะ ช่วยรับๆ ไปอย่างว่าง่ายเถอะ”
“ไม่ดีใจเลย”
“อา จะตายไหมนะ ฉันน่ะ”
โดยที่ไม่ได้ต่อเนื่องกัน โกโก้ถอนหายใจออกมา
“เป็นอย่างนั้นสินะ อย่างเช่นช่วงนี้ ทั้งร่างกายแย่ลง ทั้งเรื่องที่คุณพ่อกับคุณแม่ใจดีขึ้นมาอย่างผิดปกติ ทั้งเรื่องที่คุณหมอมีสีหน้ากังวลให้เห็นอยู่บ่อยๆ......”
“อย่าเอาเรื่องที่ตัวเองรู้อยู่แล้วมาถามคนอื่นสิ”
ผมพูดเรื่องเดียวที่สามารถคิดได้ออกไป
พวกคำพูดอ่อนโยนที่ใช้ปลอบโยนแผ่นหลังที่ดูเหงาๆ นั่น ไม่รู้แม้แต่คำเดียว
“อูย”
ในขณะที่โกโก้ที่คงเตรียมใจไว้นานแล้วนั้นกำลังแกล้งร้องไห้อย่างเห็นได้ชัด เธอก็ครวญครางอย่างเจ็บปวด
พอคิดว่าเรื่องนั้นเป็นการล้อเล่น ในทันทีนั้นเองนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเธอก็จ้องมาที่ผม
“ชินระคุง แค่เรื่องเดียว มีเรื่องสำคัญมากจะขอร้อง”
เพราะมีไข้รึไงกันนะ ในขณะที่เอาแก้มเข้าไปใกล้หน้าต่างเย็นๆ ด้วยท่าทางรู้สึกดี โกโก้ก็พูดขึ้น
“จูบ ได้ไหม?”
“ขอปฏิเสธ”
“ล้อเล่นน่ะ”
“......ไม่ได้ล้อเล่นสินะ?”
“ก็นะ”
หลังจากที่หันหลังดังควับ แล้วเอาหลังพิงกำแพง โกโก้ก็ยิ้มอย่างเสียดาย
“ทั้งๆ ที่พี่สาวอยากได้จูบแรกก่อนตายแท้ๆ น้า”
“ไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่ชั้นเถอะ”
ถึงจะแค่จูบ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนไข้ที่ป่วยหนัก สำหรับผมแล้วคงจะมีแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่จะได้รับ
“อา ชินระคุงเป็นคู่ที่ผูกพันกันด้วยโชคชะตาของฉันไม่ใช่เหรอ”
“รู้เรื่องพวกโชคชะตาด้วยเหรอไง”
“หวังไว้ว่าจะเป็นแบบนั้นน่ะ”
โกโก้กดหน้าอกไว้แน่น
สีหน้าดูไม่ค่อยดี
“นี่ กลับไปที่ห้องจะดีกว่าไหม”
“อือ......แต่รอซักพักนะ”
ไม่ใช่เพราะไม่อยากกลับ แต่คงขยับไม่ไหวมากกว่า
ว่าแล้วว่าทำให้ต้องเป็นห่วงจนได้
เป็นสภาพเดียวกับวันที่พบกันครั้งแรกในตอนที่เธอนั่งอยู่ที่ตรอกด้านหลัง
โกโก้มองขึ้นมายังผมที่คิดจะไปเรียกนางพยาบาล
“จริงๆ แล้วนะ ขอให้ฉันสร้างบาดแผลให้ชินระคุงได้ไหม อย่างที่พูดไปล่ะ ถ้าทำได้ขอร้องล่ะ”
“……สร้างบาดแผลงั้นเหรอ?”
ถึงจะไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็เข้าใจว่าเป็นคำขอที่อันตราย
“บาดแผลที่หัวใจ นี่.....เรื่องของฉัน ไม่อยากให้ลืมน่ะ”
โกโก้เข้ามาใกล้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าผมก็ถอยไปข้างหลังในระยะห่างเดียวกัน
“ถึงตอนนั้นชินระคุงอาจมีใครซักคนที่รักแล้วก็ตามที แต่ก็อยากให้นึกถึงเรื่องของฉันว่า [พอมาคิดดูแล้วก็เคยมีคนแบบนั้นอยู่ด้วยเหมือนกันนี่นะ] บ้างน่ะ แค่นานๆ ครั้งก็ได้”
“......ยังไงกันนะ”
ไม่สามารถไปสัญญาแบบนั้นได้
นี่จะกลายเป็นบาดแผลงั้นเหรอ------เรื่องอย่างพวกอนาคต ไม่เคยคิดเลย
แล้วก็ ตั้งแต่แรก สิ่งสำคัญของผมมีแค่น้องสาวเท่านั้น
“แค่นานๆ ครั้งก็ยังดี”
“จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงจะขอร้องมาก็เถอะ ถ้าคำตอบของชั้นคือไม่สนใจล่ะ? คงไม่คิดจะสร้างบาดแผลให้สินะ เรื่องนี้น่ะ?
“อา นั่นสินะ”
ในขณะที่เหงื่อออก โกโก้ก็พักหายใจ
“น่า แค่คิดว่าเป็นแผลที่ถูกหมากัดก็ได้นี่นา”
“เรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ที่ใช้พูดเวลาแยกจากกันสินะ”
“ฉัน จะตายสินะ?”
“อา”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องสร้างบาดแผลให้ตอนนี้แล้วล่ะ”
“……แน่นอน ดูมีเหตุผลขึ้นมาเลยนะ”
ดันเห็นด้วยแล้วก็พยักหน้าไปจนได้
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง วันคริสต์มาส อยากให้มาเยี่ยมน่ะ”
“คริสต์มาสงั้นเหรอ”
“อยากพบน่ะ”
โกโก้พูดอย่างจริงจัง เหมือนกับจะบอกว่าขอร้องจริงๆ
แต่ว่าพลังก็หายไปจากนัยน์ตาของเธอในทันทีเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้น เพราะจะกลับไปที่ห้อง...... ขอโทษนะ เพราะวันนี้จะไปนอนแล้วน่ะ”
โกโก้เดินโซเซออกไป
จะยื่นมือไปที่แผ่นหลังนั่น......แต่ก็หยุดมือ
ผมไม่สามารถช่วยใครได้
จะรอไปจนถึงคริสต์มาสงั้นเหรอ------แค่คืนนี้ เธอจะสามารถผ่านมันไปได้รึเปล่านะ
“…………”
ผมตกใจ
ผู้หญิงคนนี้จะตาย
ไม่สิ ถึงจะรู้จักกันแค่นิดเดียว แต่ก็เรียกเธอว่า “โกโก้” ไปแล้ว
เพราะแบบนั้นผมเลย------ทำให้จิตใจของตัวเองที่ไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้นกับเรื่องที่เธอจะตายนั้นตกใจ
“กลับมาแล้วเหรอ ชินระ!”
รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ขัดๆ กันอยู่ในเสียงเรียกของเร็นที่ดังขึ้นทันทีที่กลับถึงบ้าน
พอคิดว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ------ก็นึกออกว่าเสียงนั่นเป็นเสียงหัวเราะที่ช่วงนี้ไม่เคยได้ยิน
“มีเรื่องอะไรดีๆ งั้นเหรอ?”
ในขณะที่ผมถอดเสื้อโค้ทก็ถามออกไป
ในเมื่อเร็นมีความสุข เพราะแบบนั้นคงเป็นเรื่องดี
ดีขนาดที่ทำให้น้องสาวขี้หึงไม่สนใจเรื่องที่ผมกลับช้า
เป็นอย่างที่คิด เพราะเร็นเอียงศีรษะไปด้านข้างเพื่อแสดงให้เห็นว่าดีใจ แล้วก็แสดงใบหน้ายิ้มแย้มที่เหมือนกับดอกไม้ออกมาให้เห็น
“ย้ายบ้านล่ะ ได้ยินว่าจะไปจากที่นี่ได้น่ะ”
“เอ๊ะ?”
ในวินาทีนั้น ผมไม่เข้าใจความหมาย
แต่ว่าก็สามารถเข้าใจได้ในเวลาไม่นาน
“……แล้วมีคนให้ที่พักพิงที่อื่นแล้วเหรอ”
“ยังไงก็ดีกว่าที่นี่แน่นอน เพราะในญี่ปุ่นไม่มีที่ไหนที่มีคนมากกว่าเมืองนี้อีกแล้ว”
เร็นพูดออกมาเหมือนเป็นการบ่น
“เมื่อไรล่ะ”
“ได้ยินว่าถ้าสอบเสร็จเมื่อไรล่ะก็ จะได้ออกไปทันที”
“ทันทีเลยงั้นเหรอ?”
ไม่ต้องถึงขั้นไปเช็คปฏิทินให้แน่ใจ
โดยที่ไม่ได้รอจนถึงวันที่ยี่สิบสี่ธันวาคม ผมก็ต้องจากเมืองชินจูกุนี้ไป