Operation Skuld
Mission
- เล่น Tasogare no Sinsemilla จนจบ 100% Clear
- แปลนิยาย Tasogare no Sinsemilla ~Fuyu no Komorebi~ เป็นภาษาไทย
Tasogare no Sinsemilla
วันที่เริ่มเล่น : 1 เมษายน ค.ศ. 2014 (วันอังคาร)
วันที่เล่นจบ : 24 เมษายน ค.ศ. 2014 (วันพฤหัสบดี เวลา 3 A.M.)
Fuyu no Komorebi
วันที่เริ่มแปล : 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 (วันพฤหัสบดี)
วันที่แปลเสร็จ : 20 มิถุนายน ค.ศ. 2014 (วันศุกร์ เวลา 1 A.M.)
วันที่เรียบเรียงเสร็จสิ้น : 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 (วันเสาร์)
รายละเอียด
เมื่อ 3 ปีก่อน(วันพุธที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2011) ด้วยเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ ผมเลยรู้ถึงการมีอยู่ของเกม Tasogare no Sinsemilla เข้าโดยบังเอิญ แล้วผมก็เกิดความรู้สึกว่า “ไม่ว่ายังไงก็ต้องเล่นเกมนี้ให้ได้” ผมตัดสินใจเช่นนั้นทั้งๆที่ตอนนั้นผมยังไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นและก่อนหน้านั้นก็ไม่มีความคิดที่จะเล่น Visual Novel เลยแม้แต่น้อย
เย็นวันนั้นผมได้ตรวจเช็คว่าเกมนี้มี patch ภาษาอังกฤษหรือไม่ และถ้าไม่มี มีความเป็นไปได้ไหมที่จะมี patch อังกฤษในอนาคต แต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าไม่มี patch อังกฤษและความเป็นไปได้ที่จะมีในอนาคตก็ค่อนข้างริบหรี่ ในวันรุ่งขึ้นผมจึงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่หนึ่งเพื่อมาเล่น Tasogare no Sinsemilla
ในวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม ผมได้ไปซื้อหนังสือ “มินนะ โนะ นิฮงโกะ เล่ม 1” ซึ่งเป็นหนังสือแบบเรียนภาษาญี่ปุ่นที่หาซื้อได้ง่ายและโรงเรียนมัธยมปลายหลายแห่งใช้เป็นแบบเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่น จากนั้นก็เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเองตั้งแต่หนึ่ง ผมได้ก้าวเดินก้าวแรกออกไป
เมื่อผ่านไปเกือบๆ 1 ปี ผมอ่านมินนะ โนะ นิฮงโกะเล่มสุดท้ายจบ เลยลองอ่านภาษาญี่ปุ่นของจริงดูครั้งแรก(ข้อมูลตัวละคร “โทโนะ เร็น” จากเกม Natsuzora no Perseus) แล้วก็พบว่าภาษาญี่ปุ่นของจริงนั้นต่างจากที่ผมเคยอ่านในหนังสือเรียนมาก อ่านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร และต้องอ่านไปแปลใส่ word ไปทีละประโยค ถ้าไม่ทำแบบนั้นจะอ่านไม่รู้เรื่อง ผมใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง 40 นาทีในการอ่านข้อมูลตัวละคร “โทโนะ เร็น” ซึ่งมีแค่ 9 บรรทัด ในตอนที่อ่านจบผมรู้สึกได้ถึงความหวังและความท้อแท้ในเวลาเดียวกัน ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงกับข้อความแค่ 9 บรรทัด หนทางยังอีกยาวไกล แต่ในเวลาเดียวกันก็คิดว่าตัวเองทำได้ ถ้าค่อยๆไปล่ะก็ต้องสำเร็จแน่นอน จากนั้นผมก็ใช้เวลาอีกหลายวันเพื่อลุยอ่าน/แปลข้อมูลตัวละครที่เหลือ นี่เองที่เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมแปลข้อมูลเกมลง Blog ของตัวเอง ช่วงแรกๆที่แปลข้อมูลเกมลง Blog นั้นผมทำไปเพราะอยากรู้ข้อมูลเกม(ต้องอ่านไปแปลไปไม่งั้นไม่รู้เรื่อง)และเพื่อขัดเกลาความสามารถของตนเอง
ต่อมาผมได้ลองเล่น Visual Novel เกมแรก โดยเลือก “Imouto Smile” เกมแนวน้องสาวที่ท่าทางใช้ภาษาญี่ปุ่นเข้าใจง่าย ผมใช้เวลา 3 วันในชีวิตจริงเพื่อเล่นให้จบวันแรกในเกม และต้องเล่นไปแปลข้อความใส่ word ไป ถ้าไม่ทำแบบนั้นจะไม่รู้เรื่อง พอเล่นเกมนี้ไปได้ได้ 5 วันผมก็อ่านเนื้อเรื่องได้แบบพอเข้าใจโดยไม่ต้องเล่นไปแปลใส่ word ไปอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นก็เป็นความเร็วที่ช้ามากๆอยู่ดี แต่แม้จะใช้เวลานานกว่าจะอ่านไปได้แต่ละประโยค ผมก็ไม่ถอย ในวันข้างหน้าผมยังต้องอ่าน Tasogare no Sinsemilla ซึ่งใช้ภาษายากกว่านี้และมีเนื้อหาเยอะกว่านี้มาก เพราะแบบนั้นตอนนี้ผมจึงถอยไม่ได้ ! ……ผมใช้เวลานานมากในการเล่นรูทฮารุนะรูทเดียว แต่ผมทำได้ ผมเล่น Visual Novel ภาษาญี่ปุ่นจบได้ !
เมื่อย่างเข้าเดือนตุลาคม โรงเรียนของผมก็ปิดเทอมแล้ว ในตอนนั้นเองที่ค่าย minori ได้ปล่อยนิยาย “Fuyuzora no Perseus” ซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตของ “โทโนะ ชินระ” ตัวเอกของเกม Natsuzora no Perseus ออกมาให้อ่าน ผมอยากรู้เนื้อเรื่องจึงลองอ่านดู แล้วก็พบว่าถ้าไม่อ่านไปแปลไปจะไม่รู้เรื่อง ผมจึงต้องใช้เวลาถึง 4 วันในการอ่านและแปลตอนที่ 1 ซึ่งมีแค่ 6 หน้า ในตอนที่อ่านจบ ผมทั้งปวดหัวและตาลายเพราะใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการอ่าน ตอนนั้นถึงกับคิดว่าพวกที่แปลนิยายเป็นสัตว์ประหลาดหรือไงกันนะถึงได้แปลของแบบนั้นเสร็จได้ทั้งเล่ม ถึงผมจะคิดเช่นนั้นแต่ก็ปิติยินดีไปกับรสชาติของความสำเร็จ ต่อมาผมเล่น Hotch Kiss ของค่าย Giga จบช้ากว่าที่กำหนด จึงไม่เหลือเวลาปิดเทอมพอที่จะเล่นเกมอื่น เลยตัดสินใจแปล Fuyuzora no Perseus ไปจนถึงตอนจบ(นิยาย 5 ตอนรวมกันมีแค่ 31 หน้า) แปลจบแบบเฉียดฉิวก่อนเปิดเทอม 1 วันพอดี Fuyuzora no Perseus เป็นนิยายภาษาญี่ปุ่นเรื่องแรกที่ผมแปลซึ่งผมก็ภูมิใจมาก การแปลนิยายเรื่องนี้ทำให้ภาษาญี่ปุ่นของผมพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
หลังจากนั้นก็เล่น Visual Novel ที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นง่ายๆไปอีกเกม ก่อนจะลองเริ่มเล่นเกมแนวดราม่าอย่าง “Natsu no Ame” แล้วพอเก่งภาษาญี่ปุ่นไปได้อีกขั้นก็ไปลองเล่นแนวเหนือธรรมชาติและมีฉาก Action นิดหน่อยอย่าง Hare Tokidoki o Tenkiame (ตอนเล่นเจอสำเนียงคันไซของตัวประกอบไป ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว) โดย Visual Novel แต่ละเกมที่ผมเลือกมานั้นได้พยายามเลือกเกมที่มีปัจจัยที่ทำให้ผมสามารถพัฒนาภาษาญี่ปุ่นของตัวเองได้(แต่เกือบทุกเกมมีจุดร่วมเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ “จีบน้องสาวได้”)
ภาษาญี่ปุ่นของผมเริ่มอยู่ในระดับที่เป็นผู้เป็นคนจริงๆก็ตอนที่เล่น Ojousama Wa Gokigen Naname นี่ล่ะครับ ซึ่งตอนนั้นก็กำลังย่างเข้าสู่ปีที่สองแล้วนับจากที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมา หลังจากที่ภาษาญี่ปุ่นเริ่มเป็นผู้เป็นคนและเล่น Ojousama Wa Gokigen Naname จบแล้ว ก็ไปไล่เล่นเกมที่อยากเล่นอย่าง Akane Iro ni Somaru Saka, Mashiro Iro Symphony, Koikishi Purely Kiss ฯลฯ
แล้วในที่สุดก็เข้าสู่ปิดเทอมหน้าร้อนครั้งสุดท้ายในชีวิต(เพราะหลังจากนี้จะใช้ระบบเปิดเทอมตาม Asian ซึ่งจะปิดเทอมใหญ่หน้าฝนแทน) ผมได้เปิดฉากเล่น “จั่วไพ่ กู้โลก ค้ำคอร์” (Soukoku no Arterial ของค่าย Eushully นั่นล่ะ) ซึ่งเป็นเกมที่ผมใช้เป็นการทดสอบว่าตัวเองจะเล่น Tasogare no Sinsemilla รู้เรื่องหรือไม่ แล้วผมก็เล่นจบลงโดยที่เข้าใจเนื้อหาเกือบทั้งหมด แทบไม่มีส่วนที่ไม่รู้เรื่อง ด้วยเหตุนั้น ในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2014 ผมจึงได้ตัดสินใจเริ่มเล่น Tasogare no Sinsemilla
ผมเล่น Tasogare no Sinsemilla จบในเวลาก่อนรุ่งสางของวันที่ 24 เมษายน Tasogare no Sinsemilla เป็นเกมที่เนื้อเรื่องดีมาก คุ้มค่ากับที่ผมเรียนภาษาญี่ปุ่นมา เมื่อเล่นจบแล้วก็พักเขียนบทความต่างๆเล็กน้อย แล้วจึงเริ่มแปลนิยาย Tasogare no Sinsemilla ~Fuyu no Komorebi~ ในวันที่ 1 พฤษภาคมเพื่อทดสอบความสามารถและคุณค่าของตนเอง
แล้วในที่สุดผมก็แปลนิยาย Tasogare no Sinsemilla ~Fuyu no Komorebi~ เสร็จสิ้นในวันที่ 20 มิถุนายน ใช้เวลารวมทั้งสิ้น 50 วัน เร็วกว่าที่คิดไว้มาก (คิดไว้ว่าจะแปลเสร็จตอนปลายเดือนกรกฎาคม) ผมทำสำเร็จ ! จากเมื่อเกือบๆ 3 ปีก่อนที่เคยเป็นเด็กนักเรียนกระจอกๆไม่มีอะไรดี พอมาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาบ้างนิดหน่อยแล้วล่ะครับ
ด้วยเหตุนี้ Operation Skuld ซึ่งเป็นความฝันของผมจึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยประการฉะนี้
ทำไมถึงเป็น Operation Skuld
Skuld เป็นชื่อของเทพธิดาแห่งอนาคตในตำนานยุโรปเหนือ ผมตั้งชื่อ Operation นี้ตาม “Operation Skuld” Operation สุดท้ายของโอคาเบะ รินทาโร่ใน Anime เรื่อง Steins;Gate (ซึ่งโอคาเบะก็นำชื่อ Operation มาจากชื่อของเทพธิดาแห่งอนาคตนั่นล่ะ) ที่ผมเลือกใช้ชื่อนี้เพราะคิดว่าเป็นชื่อที่สื่อไปถึง “การเปิดประตูไปสู่อนาคตใหม่” เด็กนักเรียนกระจอกๆที่ไม่เคยมีอะไรดีอย่างผมจะสามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้หรือไม่ ถ้าทำได้ นั่นคงเป็นการเปิดประตูไปสู่อนาคต ผมคิดแบบนี้จึงได้ตั้งชื่อ Operation นี้ว่า Operation Skuld
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น