คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจากหนังสือนิยาย
แปลมาจากหนังสือนิยาย
[หน้า 211]
ตั้งแต่เข้าป่ามาเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วนะ
เป็นช่วงที่เนื้อหาสัพเพเหระทั่วไปที่จะเอามาคุยก็หมดแล้ว
เลยแค่เดินกันไปอย่างเงียบๆ
“คดีก่อนหน้านี้น่ะ……ถ้าพูดให้ถูก เพราะความช่วยเหลือของทั้งสองคน
หมู่บ้านมินาคามิก็เลยเปลี่ยนไปไม่ผิดแน่ ยามาวาโระที่เอาแต่นำอันตรายมาสู่มนุษย์อย่างเดียวก็ไม่มีแล้ว
ถึงจะต้องเก็บกวาดสะสางอีกนิดก็จริง แต่ถ้าเทียบกับที่ผ่านมาแล้วล่ะก็อยู่ในระดับที่ว่าถึงจะปล่อยไว้ก็ไม่เป็นไรด้วย”
คดีในคราวนี้เอง
ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ของโรงเรียนล่ะก็ ซาคุยะเองก็คงไม่คิดจะกระตือรือร้นเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเหมือนกัน
ถึงจะเป็นสัตว์ประหลาดนั่น แต่ก็ยังไม่ได้สร้างอันตรายให้กับมนุษย์
นั่นอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้
แต่ก็พูดได้อย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นเรื่องน่าดีใจ
“พูดแบบนั้นมาก็ดีใจอยู่หรอกครับ
แต่เป็นมุมมองที่เพราะเป็นคุณกิงโกะถึงได้เข้าใจรึเปล่านะ……พวกผมยังไม่ค่อยรู้สึกได้เท่าไรเลย”
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ”
กิงโกะใช้วันเวลายาวนานอยู่กับหมู่บ้านมินาคามิ
ถ้ามองจากช่วงเวลาหลายร้อยปีที่เธอใช้ชีวิตอยู่
เวลาอย่างแค่ไม่กี่เดือนคงเป็นชั่วพริบตา
ถึงอย่างนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นล่ะก็
โคสุเกะคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่ายินดี
“กลับไปที่เรื่องตุ๊กตาเมื่อกี้นะ
รู้รึเปล่าว่าตอนแรกสุดที่มีออกมาเนี่ยเป็นของแบบไหน ?”
[หน้า 212]
“ไม่ใช่ของที่คุณกิงโกะพูดถึงเมื่อครู่……หรอกเหรอคะ ?”
“อันนั้นเป็นเรื่องในอดีตก็จริงแต่เวลาก็ผ่านไปนิดหน่อยแล้ว
ถึงจะบอกว่านิดหน่อยก็เถอะ ร้อยปีหรือสองร้อยปี……ประมาณนั้นล่ะ”
เรื่องที่พูดออกมาได้อย่างชัดเจนว่าเวลาที่มากกว่าช่วงชีวิตของมนุษย์เป็นเวลานิดหน่อยนั้น
ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกลำบากใจเลย แต่ก็คิดว่านี่เป็นการบอกใบ้ในแบบของกิงโกะ
ถ้าผ่านเวลาขนาดนั้นไปล่ะก็
มนุษย์ที่สร้างโครงสร้างประเพณีในตอนแรกขึ้นมาก็ไม่อยู่แล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้น สิ่งต่างๆก็จะลืมเลือนจุดมุ่งหมายในตอนแรกไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลย
แล้วหลงเหลือไปแค่ความคิดซึ่งถูกนึกโยงมาจากรูปร่างของประเพณี
“เดิมทีแล้วไม่ใช่ของอย่างเครื่องราง
นั่นเองก็เป็นส่วนหนึ่งของคำสาปด้วยเหมือนกัน”
“คำสาป……เหรอครับ ?”
“ตุ๊กตานั่นเนี่ย
ของที่สร้างมาจะไม่ใช้เองสินะ
รู้เรื่องนั้นรึเปล่า ?”
“อื้อ เคยได้ยินจากอิโรฮะมาก่อนครับ
สร้างตุ๊กตาขึ้นมา แล้วก็เอานั่นไปแลกกับคนสนิทหรือคนใกล้ตัว
เพราะสร้างขึ้นโดยนึกถึงเรื่องของอีกฝ่าย พลังที่จะช่วยแบกรับเคราะห์ร้ายก็เลยกล้าแข็งขึ้นตามไปด้วย……เป็นความรู้สึกประมาณนั้นล่ะครับ”
“แต่ตอนที่ได้ยินเรื่องนั้นไม่คิดเหรอ ? ว่าถ้าคนรู้จักเป็นจำนวนคี่ล่ะจะทำยังไง”
[หน้า 213]
“……จริงๆแล้วก็คิดนิดหน่อยค่ะ”
โคสุเกะก็เห็นพ้องกับการสารภาพอย่างตรงไปตรงมาของซาคุยะเช่นกัน
เพราะเป็นงานเทศกาลที่มีแต่รูปร่าง เลยแค่แลกตุ๊กตาวนกันไปหลายรอบก็ได้แล้ว
ในความเป็นจริง ดูเหมือนตอนนี้ก็จะทำแบบนั้นอยู่เช่นกัน
ถ้ามีกันแค่สามคนล่ะก็
ให้แต่ละคนมายืนเป็นวงกลมแล้วส่งให้คนข้างๆ
ถ้าทำแบบนั้นจะไม่มีตุ๊กตาตกค้างอยู่ในมือตัวเอง
“ความจริงเป็นอะไรที่เรียบง่ายกว่านั้นมาก
แลกเปลี่ยนกับใครซักคน แล้วคนๆนั้นก็จำเป็นต้องอยู่ที่หมู่บ้านมินาคามิในอีกหนึ่งปีให้หลังด้วย
เพราะปีถัดไปจำเป็นต้องทิ้งตุ๊กตาที่แลกกันไปแล้วครั้งนึงน่ะนะ ถึงจะออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว
ก็ยังกลายเป็นเหตุผลให้เรียกคนกลับมางานเทศกาลด้วย”
“ผลลัพธ์ของการแลกเปลี่ยน
การให้สิ่งนั้นกลายเป็นเครื่องรางไม่ใช่จุดสำคัญ
แต่มีเป้าหมายแค่แลกเปลี่ยนกันเฉยๆเหรอคะ ?”
“อื้ม……เพราะถึงจะแลกตุ๊กตาไปก็ไม่ได้ช่วยปกป้องจากเขี้ยวหรือกรงเล็บของยามาวาโระให้ซะหน่อยไม่ใช่เหรอ
?”
“นั่นก็เป็นแบบนั้นล่ะค่ะ แต่…”
ตัดความเชื่องมงายที่เหลือแต่เพียงเปลือกนอกทิ้งไปตรงๆ
คำพูดของกิงโกะนั้นไม่ได้มีการเสียดสีถากถางอะไรอยู่ทั้งสิ้น
แต่อยู่บนพื้นฐานที่เข้าใจและยอมรับวัฒนธรรมที่เรียกว่างานเทศกาล
แล้วพูดออกมาตรงๆโดยไม่ได้หลบเลี่ยง
[หน้า 214]
“คนที่แข็งแรงสามารถออกจากหมู่บ้านไปได้
……แต่ว่าคนที่ออกไปไม่ได้เองก็มีเยอะมากเช่นกัน
ไม่มีแม้แต่หลักประกันที่ว่าอีกหนึ่งปีให้หลังเองคนรู้จักก็จะยังเหลืออยู่
เพราะแบบนั้นโครงสร้างนี้ก็เลยเกิดขึ้นมาน่ะ”
“……เพราะแบบนั้นก็เลยเป็นคำสาปเหรอคะ การยื่นให้คนอื่นเลยกลายเป็นการเรียกร้องอย่างเงียบๆว่าอย่าทิ้งตนเองแล้วออกจากหมู่บ้านไป
แต่ว่าในเวลาเดียวกันนั่นก็จะกลายเป็นโซ่ตรวนมาล่ามตัวเองไว้ด้วยเหมือนกัน”
“อ๊ะ แบบนี้นี่เอง……ฝั่งที่ยื่นตุ๊กตาให้ก็ห้ามออกจากหมู่บ้านด้วยสินะครับ
เดิมทีเพราะเป็นการแลกเปลี่ยนกัน เลยไม่มีคนที่ยื่นให้อย่างเดียวหรือคนที่รับอย่างเดียวอยู่”
“ก็เป็นเรื่องแบบนั้นล่ะนะ ต้นกำเนิดตามความหมายจริงๆของคำศัพท์
อาจจะเป็นอะไรที่เบากว่านิดหน่อยก็ได้ ประมาณว่าให้ยืมของซึ่งกันและกัน
แล้วพยายามอย่าให้ตายจนกว่าจะคืนให้กัน……เป็นอะไรทำนองนั้นน่ะนะ”
“……เหมือนกับฉากที่เคยเห็นในหนังยังไงก็ไม่รู้”
“ถ้าทำกันไม่กี่คนจะกลายเป็นฉากน่าประทับใจ
แต่พอทำกันเยอะๆแล้วก็ขนลุกสินะ”
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะคะ”
หยุดพักกันในช่วงที่ผ่านไปได้ราวๆหนึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่เข้ามาในป่า
กิงโกะหยิบกระป๋องน้ำผลไม้ที่ไม่รู้ว่าถือไว้ตรงไหนออกมา
แล้วยื่นให้ทั้งสอง
“เพราะแบบนั้น
ตอนที่ได้ยินว่านี่กลายเป็นเทศกาลที่อวยพรสุขภาพของคนที่ยื่นไปให้ก็ตกใจเลยล่ะ
ก็ถ้าขอให้อีกฝ่ายปลอดภัยจริงๆล่ะก็ ต้องบอกไปว่าควรจะออกห่างจากหมู่บ้านทันทีน่ะ”
[หน้า 215]
“ทำไมถึงได้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนั้นเหรอคะ
? คิดว่าถ้าไม่มีผลล่ะก็จะเป็นประเพณีที่เสื่อมลงทันทีแล้วล้มเลิกไปตามที่คุณกิงโกะพูดค่ะ
ถ้าเป้าหมายในตอนแรกยังไม่ถูกลืมเลือนไปล่ะก็ ที่จัดขึ้นต่อไปทุกครั้งที่มีความเสียหายเกิดขึ้นก็เข้าใจได้อยู่หรอกค่ะ
แต่ถ้าเป็นเครื่องรางแล้วล่ะก็ เพราะไม่มีผลก็เลย……”
“ไม่หรอก คำตอบของเรื่องนั้นน่ะ
เธอเป็นคนพูดออกมาเองไม่ใช่เหรอไง”
มีการบ่งชี้ให้เห็นจากพี่ชายเข้ามาตอบข้อสงสัยของซาคุยะในทันที
“ผลในฐานะเครื่องรางน่ะมีนะ
เพราะแบบนั้นก็เลยหลงเหลือสืบต่อกันมาถึงคนรุ่นหลังไง ……เอาเถอะ ถึงเจ้าตัวจะพูดออกมาตรงๆว่าไม่มีความหมาย แต่จะเรียกว่ายังมีส่วนที่เป็นการลักลั่นย้อนแย้งอยู่หรือยังไงดีนะ”
“คุณกิงโกะเหรอคะ ?”
“อา คนที่เข้าไปในภูเขาถูกคุณกิงโกะช่วยไว้
กลไกของผ้าคลุมนางฟ้าอะไรเนี่ย แม้แต่ยุคปัจจุบันก็ยังไม่เข้าใจ
ถ้าเป็นในอดีตล่ะก็นั่นล่ะที่เป็นฝีมือของพระเจ้า ……ยังไงก็เป็นระดับที่คุณกิงโกะหลงเหลืออยู่ในตำนานโบราณของหมู่บ้านจริงๆในฐานะท่านชิโรงาเนะ
คงจะมีคนคิดแบบนั้นอยู่เยอะล่ะนะ สรุปคือเป็นปาฏิหาริย์จากเทพเจ้า”
“อ๊ะ
ถ้าอย่างงั้นคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณกิงโกะก็กลับไปที่หมู่บ้านแล้วก็เล่าเรื่องเทพเจ้าให้ทุกคนฟัง
แล้วเรื่องนั้นจะเชื่อกันง่ายๆเลยเหรอคะ”
“เรื่องนั้นนั่นล่ะที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเชื่อกันทันทีล่ะก็คงไม่เหลือพิธีกรรมมาจนถึงป่านนี้ด้วยซ้ำ”
[หน้า 216]
“เป็นอะไรแบบนั้นเหรอคะ ?”
“เป็นอะไรแบบนั้นล่ะ
ยิ่งแพร่กระจายออกไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งเงียบลงไปเร็วเท่านั้น ในทางกลับกันถ้าใช้เวลาเป็นชั่วอายุคนแพร่กระจายออกไปด้วยความเร็วแบบค่อยเป็นค่อยไป
ก็จะแพร่กระจายต่อไปเรื่อยๆไม่หยุด เพราะคุณกิงโกะอยู่ที่นี่เป็นเวลานานขนาดนั้น
ปาฏิหาริย์ก็เลยไม่เคยหยุดลง”
“ยะ ยังไงไม่รู้ พอพูดขนาดนั้นต่อหน้าเจ้าตัวแล้ว
รู้สึกอายสุดๆไปเลยล่ะ……”
แก้มขาวๆย้อมไปด้วยสีแดง
แล้วมีท่าทางทำอะไรไม่ถูกอยู่
ซาคุยะคิดว่าทั้งๆที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแท้ๆ
แต่กลับดูเหมือนสาวน้อยผู้ใสซื่อ
เพราะมีส่วนที่เป็นแบบนี้อยู่ เลยทำให้แม้แต่คำพูดและการกระทำซึ่งปกติจะให้ความสำคัญกับความครึกครื้นเป็นอันดับแรกนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด
นี่คงจะเป็นข้อดีของนิสัย
“เพราะแบบนั้น ยังไงถ้าเปลี่ยนไปจากจุดมุ่งหมายเดิมแล้วตอนนี้เชื่อกันในฐานะปาฏิหาริย์อยู่ล่ะก็
เรื่องนั้นเป็นเพราะคุณกิงโกะสินะ”
“……ชวนให้นึกถึงเรื่องด้านที่แตกต่างกันของเทพเจ้าที่คุยกันเมื่อซักครู่ขึ้นมายังไงไม่รู้นะคะ”
“นั่นสินะ”
นางฟ้าผู้มีสายเลือดเดียวกันกำลังสะสางหายนะที่นางฟ้าหลงเหลือไว้อยู่
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ถึงจะครอบครองพลังเดียวกันแต่วิธีใช้จะตรงข้ามกัน
“เพราะคุณกิงโกะคือผู้เกี่ยวข้องโดยตรง เลยอาจจะไม่ค่อยรู้สึกได้เท่าไร
แต่คิดว่าเพราะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้อยู่
ธรรมเนียมที่บอกว่าเทพคุ้มครองคอยช่วยปกป้องผู้คนก็เลยยังหลงเหลือสืบต่อกันมาอยู่ครับ”
[หน้า 217]
“……แต่ก็มีคนที่ปกป้องไว้ไม่ได้อยู่เยอะเหมือนกันนะ”
“ถึงอย่างนั้น
คิดว่าตอนนี้ในบรรดาคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านก็มีคนที่ถ้าคุณกิงโกะไม่ได้ช่วยชีวิตบรรพบุรุษเอาไว้ก็จะไม่ได้เกิดมาอยู่เยอะนะครับ
หรือบางทีผมกับซาคุยะอาจจะเป็นแบบนั้นด้วยก็ได้”
“……พอช่วยพูดแบบนั้นมา……รู้สึกเหมือนกับว่ามุมมองที่มีต่อเรื่องงานเทศกาลเองก็เปลี่ยนไปนิดหน่อยนะ”
“ปีหน้าลองถวายตุ๊กตาด้วยกันดูไหมคะ
?”
“นั่นเองก็อาจจะดีก็ได้นะ”
การพักเหนื่อยจบลง
เริ่มเดินเข้าไปในป่าอีกครั้ง
ในขณะที่เดินอยู่ด้านหลังของทั้งสองซึ่งกำลังคุยกันอย่างสนิทสนม
โคสุเกะก็ลองคิดเรื่องอนาคตของประเพณีตุ๊กตาดู
เมื่อกี้ถึงจะพูดไปแบบนั้น
แต่ประเพณีนี้เองก็อาจจะค่อยๆหมดสิ้นไปก็เป็นได้
ยามาวาโระที่โจมตีมนุษย์ กับมนุษย์ที่ถูกโจมตี
แล้วก็กิงโกะที่ปกป้องมนุษย์
เป็นสิ่งที่มีสามฝ่ายนี้มารวมกันพร้อมหน้า
จึงก่อร่างขึ้นเป็นครั้งแรกในฐานะปาฏิหาริย์
พอมาถึงตอนนี้ซึ่งมีมุมหนึ่งขาดหายไป
และทั้งความปลอดภัยทั้งการแพทย์ก็ดีขึ้นจากในอดีตมากนั้น คงแทบจะไม่มีอันตรายเข้ามาใกล้ตัวแล้ว
[หน้า 218]
ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะไม่มีโอกาสได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ทำให้ประเพณีอาจจะค่อยๆเหลือแต่เปลือกนอกแล้วหมดไปก็เป็นได้
……ถึงอย่างนั้นก็ดีแล้วรึเปล่านะ
โคสุเกะคิดอย่างตรงไปตรงมา
ถ้าค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเวลาล่ะก็
ตอนนั้นคงมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น
ไม่ใช่ประเพณีที่มีความทุกข์เป็นพื้นฐานแล้วหลงเหลือตกทอดมา
“ว่าแต่คุณกิงโกะ
เรื่องสถานที่ของทานูกินั่นน่ะครับ ไม่รู้จริงๆเหรอครับ ?”
“แต่ว่าพี่คะ
เมื่อซักครู่ก็เพิ่งบอกมาอย่างชัดเจนว่าแบบนั้นไม่ใช่เหรอไงคะ”
“เทียบกับเรื่องนั้นแล้วกำลังเดินตรงไปอยู่เลยน่ะนะ
แล้วเพราะอีกฝ่ายคือคุณกิงโกะ แค่ยืนยันไว้ก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ”
“อืมม ยังต้องไปข้างหน้าอีกหน่อยล่ะมั้งนะ”
ถึงซาคุยะจะตกใจกับคำตอบที่ตอบกลับมาง่ายๆ
ก็เข้าใจยอมรับได้
พอพูดมาก็รู้ตัวว่าวิธีการเดินหน้าของกิงโกะนั้นไม่มีความสับสนลังเล
กำลังสร้างถนนมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังส่วนลึกของป่าอยู่
ตอนถางหญ้าที่สูงขนาดปกคลุมทางเดินมิดก็เช่นกัน
ราวกับรู้เรื่องที่ในเงานั้นไม่มีทานูกิที่กำลังหาอยู่ยังไงยังงั้น
[หน้า 219]
“รู้สถานที่เหรอคะ
?”
“สัญลักษณ์สำหรับสังเกตหลุดไปแล้วก็จริง
แต่ถ้าเข้าใกล้ก็รู้นะ เพราะสะกดรอยตามมาจนถึงกลางทางน่ะ”
“……ดีจังเลย”
เสียงที่ได้ยินจากพี่ชายนั้นคิดได้ว่าไม่ใช่การโกหกเสแสร้ง
แต่เป็นเจตนาที่แท้จริง
การเดินในป่าที่มองไม่เห็นข้างหน้านั้นจะมีความรู้สึกกดดันทางจิตใจตามมา
ก่อนหน้านี้ซาคุยะกับโคสุเกะเคยหลงอยู่ในป่ายามค่ำคืน
ถูกยามาวาโระไล่เข้าไป แล้วก็ถูกวี่แววที่อยู่ในความมืดกับเสียงคำรามเบาๆของสัตว์ไล่ต้อน
ความหวาดกลัวกับความรู้สึกกังวลในตอนนั้นยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ซักพัก
พอผ่านไปกว่าหนึ่งปีและได้เจอเรื่องอะไรหลายๆอย่าง ตอนนี้เลยสงบนิ่งอยู่ได้ แต่ช่วงหลังจากที่กลับมาจากหมู่บ้านมินาคามินั้น
ตอนเข้าใกล้ป่าในโรงเรียนเองก็เผลอระวังตัวจนถึงขั้นเกินความจำเป็นเข้า
ความคิดที่ว่าในเงาของแมกไม้หรือด้านหลังของพุ่มไม้จะมีสัตว์ที่คล้ายกับประหลาดซึ่งไม่ทราบตัวตนแน่ชัดอยู่รึเปล่านั้นติดแน่นไม่ยอมห่างออกไปจากหัว
แต่ว่าเรื่องนั้นพี่ชายเองก็คงเป็นเหมือนกันแน่ๆไม่ใช่หรอกเหรอ
ต่อหน้าซาคุยะจะมีท่าทางเข้มแข็งไม่กังวลอะไรอยู่เสมอ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กลัว
[หน้า 220]
“คุณกิงโกะไม่เคยรู้สึกกลัวการเดินในภูเขาเลยเหรอคะ
?”
ความโดดเดี่ยวคือความกลัวพื้นฐานที่มนุษย์มี
ถึงจะมีผ้าคลุมนางฟ้าที่สารพัดประโยชน์อยู่ยังไง
ก็คงไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเป็นคุณกิงโกะล่ะก็ไม่เคยไม่ใช่เหรอไง
?”
“ทำไมถึงได้คิดแบบนั้นเหรอคะ ?”
“ก็ความไม่สบายใจในกรณีนี้น่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่มีพื้นฐานมาจากความไม่สบายใจที่ว่าอาจจะกลับไปไม่ได้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ
? ในกรณีของคุณกิงโกะถึงจะหลงทางไป
แค่บินไปบนฟ้าแล้วมุ่งหน้าไปยังทางออกก็ได้แล้วน่ะนะ ไม่ต้องลื่นตกหน้าผาด้วย”
“เป็นอย่างที่ว่ามาจริงๆนั่นล่ะค่ะ……แต่คุณกิงโกะก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนะคะ”
“ช่ายๆ
โธ่ เสียมารยาทน้า เพราะเป็นคนสวยที่อายุน้อยและบอบบางแบบนี้
ของที่กลัวเนี่ยต้องมีเยอะเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
“ขอโทษค่ะ
เป็นไปตามที่พี่พูดเลยสินะคะ”
“ใช่ไหมล่ะ ?”
“เดี๋ยวสิๆ ! ไหงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ !”
“……ขอโทษค่ะ ล้อเล่นค่ะ”
“เมื่อกี้ ครึ่งนึงเป็นการพูดจริงแน่ๆ !”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น