คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจากหนังสือนิยาย
แปลมาจากหนังสือนิยาย
[หน้า 201]
“ที่ซาคุยะจังสงสัยอยู่คือถึงจะถวายตุ๊กตาไปแล้ว
แต่หลังจากนั้นตอนที่ไปดู ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เรื่องนั้นไม่ได้หมายความว่าหน้าที่ของเครื่องรางไม่บรรลุเป้าหมายหรอกเหรอ
คิดแบบนั้นสินะ”
“ค่ะ ตามนั้นล่ะค่ะ”
“ตรงจุดนั้น
ในกรณีที่ถวายตุ๊กตาไปจะมีธรรมเนียมอย่างหนึ่งตามมา การเปลี่ยนรุ่นของตุ๊กตาน่ะ”
“อ๊ะ……เคยเห็นในพวกข่าวพิเศษเทศกาลฤดูร้อนค่ะ
เผาตุ๊กตาบ้าง เอาไปลอยแม่น้ำบ้าง”
“ในกรณีของหมู่บ้านมินาคามิเองก็เป็นการเผาสินะ”
“นอกเหนือจากของๆตระกูลบางตระกูลน่ะนะ”
เพราะเผาจนหายไปแล้ว เลยไม่มีความจำเป็นต้องเช็คดูบาดแผลบนตุ๊กตา
ผลลัพธ์คือเหลือแค่ความจริงที่ได้ถวายตุ๊กตาไป
เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบดูของที่หายไปแล้วได้
เลยเหลือแค่ข่าวลือที่ว่าได้รับการปกป้อง
“……เป็นเรื่องที่น่าสนใจยังไงไม่รู้นะคะ”
“ก็นะ
แน่นอนว่าคิดแบบนั้นจะสบายใจกว่า ทั้งโคสุเกะทั้งซาคุยะจัง ตอนเทศกาลหน้าร้อนได้ทำตุ๊กตาถวายไปด้วย
ต้องช่วยปกป้องแน่นอน”
“อืม ก็อยากให้เป็นแบบนั้นน่ะนะ”
รถประจำทางประกาศแจ้งป้ายถัดไป
[หน้า 202]
อยู่ในรถราวๆสามสิบนาที
แต่เพราะคุยกันอย่างออกรสรึเปล่านะ เลยรู้สึกว่าเป็นเวลาแค่พริบตา
พอลงจากรถที่มีเครื่องทำความร้อนทำงานอยู่
ก็ห่อตัวให้กับลมหนาวที่พัดมาจากภูเขา
“ดีนะที่หิมะไม่ทับถมกัน”
“ตกมาแล้วหรอกเหรอ
ตั้งแต่เมื่อไรกัน……”
“ก่อนหน้านี่ไม่นาน ตกแปะๆมาน่ะนะ
แต่ก็หยุดตกทันทีแล้วละลายไปหมดแล้ว”
“ถ้าเป็นโตเกียวล่ะก็
ไม่ขึ้นปีใหม่ก็ไม่ตก หลังๆมานี้เลยไม่ได้ดูหิมะอย่างเต็มอิ่มเท่าไร”
“ที่นี่ทับถมกันเลยนะ
พอถึงวันหยุดแล้วก็มาสิ เพราะจะให้ช่วยกวาดหิมะที่ศาลเจ้าน่ะ”
“แบบนั้นก็เป็นการทำงานหนักน่ะนะ……”
ในขณะที่ตั้งใจฟังเรื่องของทั้งสอง
ซาคุยะก็ตั้งใจว่าจะจดจำสภาพในฤดูหนาวของหมู่บ้านมินาคามิไว้ให้ตราตรึงอยู่ในใจ
กลิ่นอายของฤดูร้อนกับเสียงของจักจั่น
ในขณะที่ถูกสายลมเย็นๆซึ่งพัดลงมาจากภูเขาเป่าเหงื่อ เหงื่อที่ไหลย้อยที่แก้มก็ร่วงลงสู่พื้นดินแล้วระเหยไป……พอได้ยินคำว่าหมู่บ้านมินาคามิแล้วที่นึกขึ้นมาคือภาพในฤดูร้อนแบบนั้น
ตอนนี้ผู้คนใส่เสื้อผ้าหนาๆ
แล้วเดินราวกับห่อตัวกันอยู่
แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวสูงไม่พอ เงาของภูเขาได้ยืดยาวออก
เลยรู้สึกหนาวขึ้นไปอีก
คิดว่าทั้งๆที่ถ้าหิมะตกมาก็ดีแล้วแท้ๆ
[หน้า 203]
ทั้งที่ถ้าถูกตกแต่งด้วยสีขาวล่ะก็
ทิวทัศน์ที่ดูเหงาและหนาวเหน็บก็จะมีการแต่งแต้มที่สดใสเพิ่มขึ้นมาแท้ๆ
“หลังจากนี้พวกนายจะเอายังไงล่ะ
? ตรงไปบ้านคุณอิวานางะเลยเหรอ”
“……ไม่ล่ะ อยากจะรีบทำเป้าหมายให้เสร็จลุล่วงก่อนที่จะทำตัวสบายๆน่ะ”
“นั่นสินะคะ……ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไรด้วย”
ทางศาลเจ้ามีผู้หญิงผมสีเงินโบกมืออยู่
“งั้นเหรอ
ถ้าอย่างงั้นจะรับฝากสัมภาระไว้ก่อน เสร็จแล้วมาเอานะ”
“โทษทีนะ”
“ป่านนี้แล้วไม่ใช่เหรอไง”
ที่ใต้บันไดหินซึ่งทอดยาวต่อไปยังศาลเจ้ามีกิงโกะรออยู่
“ไปดีมาดีนะ คุณกิงโกะ
ฝากทั้งสองคนด้วยนะคะ”
“วางใจได้เต็มที่เล้ย
มีฉันคนนี้อยู่ทั้งคน สบายมากหายห่วง”
ยิ้มตอบกลับมาด้วยท่าทางปกติของกิงโกะ
จากนั้นอิโรฮะที่เอาสัมภาระของโคสุเกะกับซาคุยะไปถือก็ขึ้นบันไดหินไป
“ถ้าพูดถึงเครื่องรางแล้วล่ะก็
อาจจะเป็นคุณอิโรฮะก็ได้นะคะ”
“หืม ? เรื่องอะไรงั้นเหรอ ?”
“เรื่องตุ๊กตาของศาลเจ้าคาสุกะน่ะครับ ที่ว่าปกป้องผู้คนในฐานะโยริชิโระ
ซาคุยะคงเห็นการเอาใจใส่ดูแลของอิโรฮะเป็นอะไรแบบนั้นน่ะครับ”
[หน้า 204]
พยักหน้ายอมรับให้กับการพูดเสริมของพี่ชาย
“อ้อ~……แบบนี้นี่เอง”
แต่กิงโกะที่คุยด้วยนั้นมีรอยยิ้มที่ดูไม่ราบรื่นยากจะเข้าใจยังไงไม่รู้ผุดขึ้นมา
พอเดินผ่านถนนที่ปูไว้หน้าบันไดหินซึ่งทอดยาวต่อไปยังศาลเจ้าคาสุกะก็จะไปสุดทางที่แม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านมินาคามิ
พอเดินมุ่งหน้าไปยังต้นน้ำจากที่นั่น
ก็จะเป็นทางที่ไปถึงไหล่เขาโดยตรง
“เมื่อกี้ทำไมถึงได้ทำหน้าเศร้าเหรอคะ
?”
“หืม ? เรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“เรื่องตุ๊กตาของศาลเจ้าคาสุกะค่ะ”
“……อ๊ะ……อืม……ก็นะ”
มีบรรยากาศที่บ่งบอกว่ากิงโกะพยายามจะหลบเลี่ยงลอยออกมาอยู่
แต่ซาคุยะก็ไม่ได้พูดต่อแล้วรอคำพูดของกิงโกะไป
ดูเหมือนโคสุเกะเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
และแค่ก้าวเท้าต่อไปอย่างเงียบๆโดยไม่พูดอะไร
“……ถึงจะบอกว่าเป็นเทพคุ้มครองก็เถอะ
แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่น่าขอบคุณเท่าไรหรอกนะ”
ที่พูดพึมพำขึ้นมาคือช่วงที่อยู่ในละแวกที่ผิวดินเริ่มเปลี่ยนจากดินเป็นหิน
[หน้า 205]
“ที่ธรรมเนียมนั้นเกิดขึ้นคือช่วงยุคสมัยที่ยามาวาโระยังเยอะอยู่น่ะ
ตอนนั้นแย่กว่าตอนนี้มาก ได้แต่อธิษฐานกับเทพเจ้าอย่างเดียว
ที่เกิดขึ้นมาในตอนนั้นคือธรรมเนียมนี้ที่ว่าขอแค่รอดผ่านไปได้ปีเดียวก็ดีแล้ว
ทุกปีจะสร้างของใหม่มาเปลี่ยน แล้วทุกครั้งจะทำเป็นว่าตัวเองคนเก่าได้ตายไปแล้วและเกิดใหม่
จากนั้นก็จะฝากความหวังไว้กับปีใหม่ที่มาเยือน ……เป็นต้นกำเนิดที่น่าเศร้าสินะ”
“แต่เพราะคุณกิงโกะมา
สรุปว่านั่นก็เลยบรรลุเป้าหมายสินะคะ”
“ไม่ใช่ว่าสามารถช่วยได้ทุกคนซะหน่อย
……แล้วเดิมทีฉันก็ไม่ได้มาเพื่อช่วยคนด้วย”
ยิ้มจางๆราวกับเป็นการหัวเราะเยาะตัวเอง
“พ่อแม่ของอิโรฮะจังก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ฉันช่วยหาสองคนนั้นให้เจอไม่ได้ เพราะแบบนั้นเลยไม่ค่อยชอบเครื่องรางอะไรเท่าไรน่ะ”
“คุณกิงโกะ……”
ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นเขาไปราวๆครู่หนึ่ง
“ว่าแต่ทานูกินั่น
ตอนนี้เป็นยังไงเหรอคะ ?”
“อ๊ะ……อื้อ เป็นเด็กที่เป็นมิตรกับคนแล้วก็ฉลาดมากเลยล่ะ”
“เห ถ้าโชวโกะจังได้เห็นคงจะดีใจล่ะนะ
แต่ถ้าเป็นทานูกิแล้วก็ท่าทางจะทะเลาะกับกอนตะด้วยสิน้า……”
ตอนนี้เป็นหมาจิ้งจอกที่กลายเป็นเทพคุ้มครองของหมู่บ้านมินาคามิไปแล้ว
[หน้า 206]
กอนตะซึ่งถูกเลี้ยงไว้ที่ด้านหลังของศาลเจ้านั้น
ดูเหมือนจะค่อยๆคุ้นเคยกับผู้คนขึ้นเรื่อยๆและเริ่มโผล่ออกมาหน้านักท่องเที่ยวด้วยแล้ว
ตอนที่คุยโทรศัพท์เมื่อวันก่อน อิโรฮะพูดว่าซักวันหนึ่งอาจจะกลายเป็นของขึ้นชื่อของหมู่บ้านมินาคามิไปก็ได้
“ตอนนี้เครื่องส่งสัญญาณที่ติดไว้ที่เด็กคนนั้นหลุดออกไปเรียบร้อยแล้วล่ะ
แต่ว่าขณะนี้เองก็ยังอยู่ในภูเขานี้ไม่ผิดแน่ เพราะสัญญาไว้ว่าจะพาซาคุยะจังมาให้”
“……ค่ะ”
“แต่”
กิงโกะทำท่าจะพูดอะไรซักอย่าง แล้วก็หยุดไป
ทั้งคู่มองกิงโกะที่จู่ๆก็หยุดหัวข้อสนทนาไป
รอให้พูดต่ออยู่ แต่ก็ไม่มีคำพูดต่อไปออกมา
“แต่ อะไรหรือคะ ?”
ซาคุยะเป็นคนรับมาถามต่อ
“เอ่อ……ทั้งสองคน จากนี้ไปอาจจะได้เห็นอะไรไม่น่าดูเข้าก็ได้ เป็นอะไรไหม ?”
นั่นคงจะเป็นเนื้อหาที่ต่างจากที่คิดจะพูดในตอนแรก
แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ
คิดอยู่ว่าถ้ากิงโกะตัดสินใจแบบนั้นแล้วล่ะก็คงจะเป็นอะไรที่พูดออกมาเป็นคำพูดได้ยากแน่นอน
“ค่ะ ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะมีธุระกับฉันด้วย แล้วก็เพราะคิดว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับยามาวาโระ…… ไม่สิ
คดีที่เกี่ยวข้องกับนางฟ้าทั้งหมดมีความรับผิดชอบเกี่ยวโยงมาถึงฉันค่ะ”
[หน้า 207]
“ผมก็ด้วยครับ”
“……งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว”
พยักหน้าแล้วคราวนี้ก็มีรอยยิ้มที่ดูขี้แกล้งเล็กน้อยผุดขึ้นมา
“แหม~
พอได้ฟังระดับการเตรียมใจแล้ว พี่สาวก็โล่งใจ ถึงบอกว่าจะเข้าไปในนี้น้า~
ไปก็เถอะ ปกติแล้วจะพูดคำพูดอย่างมาพยายามกันเถอะ ! ไปโดยไม่คิดอะไรไม่ได้ด้วยสินะ”
ดูเหมือนจะปีนขึ้นมาถึงตอนบนของภูเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
กิงโกะใช้มือชี้ทิวทัศน์ที่มองเห็นอยู่เบื้องล่างจากหน้าผาสูงชัน
ในภูเขามีต้นไม้ขึ้นระเกะระกะเต็มไปหมด
ไม่มีร่องรอยของมนุษย์เข้าไปเลย ที่อยู่เบื้องหน้าคือป่าหนาทึบที่แผ่ขยายออกไป
จะมีที่ให้เดินได้จริงๆรึเปล่าก็ไม่รู้
“นะ ในนี้เหรอครับ ?”
“รู้สถานที่อยู่แล้วสินะคะ”
“ไม่น้า เมื่อกี้ก็เพิ่งพูดไปหยกๆว่าสมอหลุดไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ตรงข้ามกับกิงโกะที่หัวเราะก๊ากด้วยท่าทางสนุกสนานโดยสิ้นเชิง
ไหล่ของโคสุเกะกับซาคุยะเริ่มค่อยๆตกไปทีละน้อย
“ไม่เป็นไรๆ ถ้าเดินทั้งวันล่ะก็ต้องเจออะไรซักอย่างแน่”
“……ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีอยู่หรอกครับ
แต่……”
[หน้า 209]
“จะว่ายังไงดี
เดิมทีถึงจะแค่ลงไปอย่างเดียวก็ดูท่าจะใช้เวลาวันนึงแล้วนะคะ”
“ตรงนั้นฝากให้พี่สาวจัดการได้เลย
ถ้าเป็นที่นี่ล่ะก็ไม่ถูกใครเห็นด้วย จะเคลื่อนย้ายให้อย่างนุ่มนวลเอง”
พอเห็นท่าทางที่ดูสนุกขึ้นเรื่อยๆแล้ว
อารมณ์ของโคสุเกะกับซาคุยะก็ห่อเหี่ยวลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“……ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ไปกันไหม”
“ถ้าเตรียมข้าวกล่องมาก็คงจะดีหรอกนะคะ……”
“อย่าบ่นมากน่า มันชวนให้รู้สึกหดหู่นะ
แต่ยังไงเรื่องที่ขอแค่มีคุณกิงโกะอยู่ด้วยก็ไม่ต้องประสบภัยน่ะ ช่วยได้ใช่ไหมล่ะ”
“ค้างแรมในป่าก็สนุกเหมือนกันน้า”
ได้ยินคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบแล้วไหล่ของทั้งคู่ก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
การเคลื่อนย้ายไปยังใต้หน้าผานั้นได้รับการขนย้ายไปโดยใช้ผ้าคลุมนางฟ้าของกิงโกะ
พอกางแผ่นสีฟ้าที่กิงโกะมีออกไปก็จะกลายเป็นผ้าคลุมนางฟ้าที่ใช้คลุมร่างกาย
นั่นมีฟังก์ชันอยู่หลายอย่าง
ถ้าปลดลิมิตการทำงานออกล่ะก็การบินไปบนท้องฟ้าเองก็ทำได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
“จะว่าไปเพิ่งเคยบินโดยให้ทั้งสองคนซ้อนเป็นครั้งแรกรึเปล่านะ ? เป็นไง ? สนุกมั้ย ?”
[หน้า 210]
“…………ไม่ไหว เกินไปแล้ว……”
“บริเวณเท้าไม่มั่นคงเกินไปจนน่ากลัวเกินไปค่ะ”
ตอนที่ถูกบอกให้นั่งลงไปบนผืนผ้าบางๆที่ไม่มีแม้แต่เข็มขัดรักษาความปลอดภัยและดูพึ่งพาไม่ได้นั้น
ได้ทำหน้าสิ้นหวังยิ่งกว่าตอนที่บอกมาว่าจะเข้าไปในทะเลป่าซะอีก
พอนั่งลงไปบนผ้าที่คาอยู่กลางอากาศโดยไม่สนใจแรงดึงดูด
ก็แบกร่างของสามคนขึ้นไปด้วยการเคลื่อนไหวที่มีพลังกว่าที่คาด
ทั้งๆที่แรงแท้ๆ
แต่ถึงจะห่างจากพื้นไปแล้วก็ยังไม่มีที่โผล่มาให้จับ
แค่เกาะแขนสองข้างของกิงโกะที่อยู่ตรงกลางก็เต็มแรงแล้ว
พอคิดว่ามีขากลับอยู่ด้วยเหมือนกันก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจ
พูดได้ยากว่าการเดินในป่านั้นสบาย
แต่ก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของเรื่องที่ขาแตะอยู่กับพื้น
กิงโกะเดินนำอยู่หน้าสุด
ยืดผ้าคลุมนางฟ้าออกไปแล้วทำให้มีรูปร่างเป็นเหมือนนางินาตะ จากนั้นก็ใช้นางินาตะตัดหญ้าสูงๆสร้างทางเดินไปเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะตัดไปเท่าไรความคมก็ไม่ตกลงไปเลย
ทั้งๆที่ไม่มีท่าทีว่าได้ใส่แรงลงไปแท้ๆ ต้นไม้ใบหญ้าที่ขวางทางค่อยๆเปิดออกไปเรื่อยๆด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเบื้องหน้านั้นคิดว่าสะดวกดี
“เป็นเรื่องเมื่อกี้น่ะนะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น