คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจากหนังสือนิยาย
แปลมาจากหนังสือนิยาย
[หน้า 81]
“……ก็เป็นแบบนั้นตามที่พูดล่ะค่ะ แต่…”
จู่ๆก็นึกถึงเรื่องของเพื่อนในอดีตขึ้นมา
ย้ายออกจากหมู่บ้านมินาคามิ
แล้วไปเรียนที่โรงเรียนประถมในโตเกียว
หลังจากนั้นก็อยู่มาจนจบมัธยมต้น
แล้วมาเข้าเรียนที่โรงเรียนคิโยมิยะเพียงลำพัง
ที่โตเกียวเองก็มีเพื่อนที่สนิทกันอยู่
และเศร้าใจกับเรื่องที่ไม่อาจไปเรียนต่อโรงเรียนเดียวกับซาคุยะได้
ตอนนี้
ทั้งงานวัฒนธรรมและงานแข่งกีฬาสมัยมัธยมต้นที่ใช้เวลามาด้วยกันเองก็กลายเป็นความทรงจำที่ดีเช่นกัน
เป็นไปตามที่พี่ชายพูด ถึงจะเป็นเวลาไม่กี่ปีสั้นๆ
ความทรงจำที่มีก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
‘ที่อยากจะอวดรุ่นพี่ของตัวเองให้รุ่นน้องที่เข้ามาใหม่ฟังเนี่ย
คิดว่าเป็นเรื่องดีนิดหน่อยนะ……’
“……”
เพราะเป็นเรื่องของตัวเอง
เลยไม่สามารถพยักหน้ายอมรับในทันทีได้
ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจความรู้สึก
ถึงจะเป็นซาคุยะที่ใกล้จบการศึกษาแล้ว
แต่ตอนช่วงปีสองก็เคยมีรุ่นพี่ที่คอยมาเอาใจใส่อยู่
ช่วงฤดูหนาวตอนปีสอง
คอยมาให้กำลังใจและปลอบโยนซาคุยะที่ไม่กลับบ้านทั้งคริสต์มาสทั้งปีใหม่แล้วซึมเศร้าอยู่
[หน้า 82]
เธอในตอนนั้นกับตนเองในตอนนี้อายุเท่ากัน
ถึงอย่างนั้นซาคุยะก็ไม่อาจคิดว่าตนเองในตอนนี้สามารถเป็น
“ผู้ใหญ่” ได้เท่าเธอในตอนนั้น
‘ยังมีเวลาอยู่สินะ ? ถ้าค่อยๆคิดไปล่ะเป็นไง ?’
“นั่น สินะคะ จะลองทำเช่นนั้นดูค่ะ”
กว่าที่ซาคุยะจะตอบไปขนาดนั้นได้นั้นลำบากมาก
วันต่อมา
พอเข้าห้องเรียนมาก็พบว่าโคโนเอะ จิคาเงะมาอยู่ก่อนแล้ว
“เป็นภาพที่รู้สึกว่าเคยเห็นมาแล้วยังไงไม่รู้ค่ะ”
“งั้นหรอกเหรอ ? เรื่องนั้นต้องคิดไปเองแน่ๆ”
“……โกหกแน่ๆสินะคะ วันนี้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้กี่เครื่องกันคะ ?”
“จริงๆแล้วไม่ได้ใช้เลยซักเครื่อง
พอคิดว่าตั้งใจจะมาหาซาคุยะแต่เช้าก็ตื่นซะแล้วน่ะ”
“……ไม่ใช่เด็กที่จะไปทัศนศึกษาซะหน่อยนะคะ”
ถอนหายใจเล็กน้อย
[หน้า 83]
“ตอนนี้ตัดสินใจว่าจะยังไม่ถอนชื่อเข้าร่วมไปก่อนค่ะ
……ถึงอย่างนั้นจะเข้าร่วมรึเปล่านั้นก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ
แต่ก็ตั้งใจว่าจะดูสถานการณ์ซักพักค่ะ”
“เรื่องนั้น……เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจแบบไหนกันแน่น่ะ ?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ
แต่……”
นึกถึงการสนทนาหลังเลิกเรียนขึ้นมา
เห็นเคยบอกว่ารุ่นน้องกำลังต้องการความทรงจำ
หรือว่าบางทีจะรู้ถึงสภาพการณ์ของพวกเธออยู่แล้วด้วยรึเปล่านะ ?
พอลองถามไปดู
จิคาเงะก็ส่ายหน้า
“เรื่องนั้นก็แค่ตัวเองคิดแบบนั้นเท่านั้นล่ะ
พอการจบการศึกษาใกล้เข้ามาก็คิดเรื่องอะไรหลายอย่างเข้าน่ะนะ……อย่างเช่นอยู่ที่โรงเรียนนี้แล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
หลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อไปบ้าง
แล้วพอทำแบบนั้นไปจู่ๆก็นึกถึงเรื่องของรุ่นพี่ขึ้นมา ทั้งตอนออกจากชมรม
ทั้งตอนออกจากหอพัก ทั้งตอนพิธีจบ เศร้าไปขนาดนั้นแล้วบอกว่าจะไม่ลืมเด็ดขาด จะสานต่อพวกรุ่นพี่……คิดว่าทั้งๆที่สาบานไว้อย่างน่าสรรเสริญแท้ๆ แล้วตอนนี้ยังสามารถรักษาคำสาบานนั้นได้อยู่รึเปล่าน่ะนะ”
“เป็นความคิดที่น่าสรรเสริญไม่ผิดจริงๆด้วยสินะคะ”
“พูดเรื่องโหดร้ายได้หน้าตาเฉยเลยนะ”
“เพราะคบกันมานานด้วยน่ะค่ะ เรื่องแค่นี้”
[หน้า 84]
เรื่องที่ไม่ได้มีความคิดละเอียดอ่อนขนาดที่จะมาครุ่นคิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนั้นรู้อยู่แล้ว
ดูจากเรื่องที่เงียบไว้แล้วโยนการวางแผนงานเลี้ยงคริสต์มาสมาให้ซาคุยะก็แจ่มแจ้งชัดเจนแล้ว
“ก็เป็นแบบนั้นตามที่ว่าจริงๆนั่นล่ะนะ
ความเศร้าในตอนนั้นเป็นของชั่วคราว พอยุ่งบ้าง
แค่เรื่องของตัวเองก็เต็มกลืนแล้วบ้าง เลยลืมไปตอนไหนก็ไม่รู้ ……แต่ว่า ก็นะ
พอตัวเองจะกลายเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงแล้วเลยนึกขึ้นได้น่ะ……”
“……แบบนี้นี่เอง ที่คุณโคโนเอะบอกว่ารุ่นน้องเองก็กำลังต้องการความทรงจำก็เพราะ…”
“อื้อ เป็นเรื่องของตัวเอง
พอมาถึงตอนนี้ก็คิดว่าถ้าทำอะไรไว้ให้เยอะกว่านี้คงจะดี
มีรุ่นพี่ที่น่าสนใจอยู่เยอะด้วย พวกเรายังดูเรียบๆซะมากกว่าเนอะ”
“นั่นสินะคะ……จำได้ว่าถูกทำให้ลำบากเป็นอย่างมากเลยล่ะค่ะ”
ตอนแรกที่เข้าหอพักมานั้นมีคนที่เรียกได้ว่าแหวกแนวคาดไม่ถึงอยู่เยอะ
เป็นอะไรที่ชวนให้กลุ้มใจกังวลว่าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้จริงๆเหรอ
ทว่า พอหนึ่งปีผ่านไป
พวกรุ่นพี่ที่เป็นที่รักในฐานะเด็กมีปัญหาของหอพักก็จบการศึกษาไป
เรื่องที่มาเล่นที่ห้องกลางดึกก็ไม่มีแล้ว
เรื่องที่จะถูกพาไปทดสอบความกล้ากะทันหันก็ไม่มีแล้ว จากนั้นในเวลาเดียวกับที่รู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อย
ความเหงาก็เพิ่มมากขึ้น
มีเรื่องที่ทำร่วมกันอยู่เพียงแค่ในความทรงจำเท่านั้น
และคนที่สามารถคุยเรื่องนั้นด้วยกันได้เองก็ลดลงไปเรื่อยๆทุกปี
จากนั้นคงจะเลิกนึกถึงไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
แล้วก็จดจ่ออยู่กับชีวิตแต่ละวันไป
[หน้า 85]
การสนทนากับมิยูกิเมื่อวานนั้นได้ทำให้ซาคุยะนึกถึงความรู้สึกอ่อนไหวที่ตัวเองเคยมีในอดีต
“เพราะไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับรุ่นน้องในตอนนี้อย่างกระตือรือร้นอะไร
เรื่องที่ว่าฉันได้รับการสนับสนุนอยู่เนี่ย ก็เลยยังไม่ยอมรับค่ะ”
“ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ ……เมื่อวานก็อาจจะพูดไปแล้วด้วย”
“นั่นต้องเป็นเรื่องที่ถ้าเป็นเจ้าตัวจะไม่เข้าใจแน่นอนค่ะ”
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้”
มองหน้ากันจากนั้นก็ยิ้มด้วยกันสองคน
หลังเลิกเรียนวันนั้น
ซาคุยะตัดสินใจไปยังที่รวมตัวของ MSF อีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะที่วันนี้เองก็อุตส่าห์มาด้วย”
มัตสึไดระ มิยูกิ
โค้งศีรษะต้อนรับซาคุยะด้วยท่าทางที่สามารถเรียกได้ด้วยว่างดงาม
“ไม่ต้องสำรวมขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”
“ไม่ค่ะ
เพราะท่านซาคุยะอุตส่าห์มา เป็นธรรมดาอยู่แล้วค่ะ”
“อย่างงั้นเหรอคะ”
อาจเป็นเพราะสังเกตเห็นซาคุยะที่มีสีหน้าเอือมระอาเล็กน้อย
สีหน้าของมิยูกิเลยหมองมัวลงนิดหน่อย
“……เอ่อ หรือว่ากำลังคิดว่ามีท่าทีสุภาพเกินไปจนเสียมารยาทรึเปล่าคะ ?”
[หน้า 86]
“ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเป็นพิเศษอะไรหรอกค่ะ”
ลังเลอยู่เพียงชั่วครู่ว่าจะเสริมคำพูดต่อไปเข้าไปดีหรือไม่
คิดว่าอาจจะเป็นการทำให้รู้สึกไม่ดีก็ได้
แต่ก็ตัดสินใจว่าถึงจะโดนเกลียดแล้วชุมนุม MSF ยุบไปก็ไม่เป็นไร แล้วเลือกที่จะพูดออกไป
“แต่คิดว่าถึงจะมีคนที่คิดแบบนั้นอยู่ก็ไม่แปลกเลยค่ะ”
“……นั่นสินะคะ……”
สีหน้าของมิยูกิดูสลดอย่างเห็นได้ชัด
ซาคุยะที่เป็นฝ่ายพูดลนลานเล็กน้อยกับวิธีซึมเศร้าที่ดันมาสลดก่อนจะเกิดรู้สึกต่อต้านซาคุยะซะอีก
“อะ เอาเถอะค่ะ
เข้ากับบรรยากาศของคุณมิยูกิด้วย การไม่กลัวอะไรก็เป็นข้อดีด้วยเหมือนกันค่ะ”
“……ขอบคุณค่ะ”
ได้รับการขอบคุณอย่างเขินอายเล็กน้อยจากมิยูกิ
วันนี้ดูเหมือนสมาชิกคนอื่นจะมาช้า
เลยตัดสินใจออกไปข้างนอก
รอบๆโรงเรียนคิโยมิยะมีป่าอยู่ และมีทางสำหรับเดินเล่นสร้างไว้เพื่อที่จะได้เข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติในป่าได้
มีรั้วกั้นไว้เพื่อจะได้ไม่หลงเข้าไปในที่ลึกๆ
แต่เนื่องจากนักเรียนที่ไม่ถูกกับแมลงเองก็มีอยู่เยอะ
แต่ไหนแต่ไรก็เลยแทบจะไม่มีนักเรียนเข้าไปในป่าอยู่แล้ว
[หน้า 87]
“ปัญหาในตอนที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านซาคุยะเองก็มีฉันเป็นสาเหตุค่ะ”
“ถ้าเดาไม่ผิด
เรื่องที่ทะเลาะกับนักเรียนชายโรงเรียนอื่นที่พูดก็……”
“……ค่ะ ดูเหมือนว่าคำพูดของฉัน
สำหรับอีกฝ่ายแล้วจะได้ยินเป็นคำพูดที่เสียมารยาทอย่างมาก
แล้วก็ไม่สามารถขอโทษได้อย่างราบรื่น เลยเดือดร้อนค่ะ”
“เป็นเรื่องแบบนั้นเองสินะคะ พอจะเข้าใจนิดหน่อยแล้วค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ ……ที่จริงแล้วตอนนั้นแม้แต่การเอ่ยปากขอบคุณแบบนี้ก็แทบจะทำไม่ได้เลยค่ะ”
“อย่างงั้นเหรอคะ ?”
ตอนนี้บางทีก็ได้ยินเป็นคำพูดที่สุภาพเกินไปจนเสียมารยาท
แต่โดยภาพรวมแล้วเป็นรุ่นน้องผู้อ่อนน้อมถ่อมตน
มีส่วนสูงมาตรฐานและรูปลักษณ์ภายนอกน่ารัก
จากนั้นคำพูดที่พูดในขณะที่ยืนหลังตรงมองอีกฝ่ายนั้นก็สัมผัสได้ถึงเจตนาอันแน่วแน่
อาจจะมีบ้างที่รู้สึกว่ามีหนามอยู่ในคำพูด
แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเสียมารยาทขนาดที่ตัวเธอพูดมา
“ตอนที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านซาคุยะ
ฉันพูดไปว่าแบบนี้ค่ะ พูดไปว่ารู้สึกเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ”
“………………”
มีอะไรติดอยู่ในความคิดของซาคุยะ
“พอทำแบบนั้นท่านซาคุยะก็พูดชี้ทางให้ฉันค่ะ บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ต้องสื่อคำพูดออกไป”
[หน้า 88]
“……อ๊า……”
รู้สึกว่าเคยพูดไปไม่ผิดแน่
“แล้วต่อไปก็ถูกบอกให้พูดเรื่องเดียวกันแม้แต่กับเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ด้วยกันค่ะ
……ฉันในตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนั้นเท่าไร
คนที่มาช่วยคือท่านซาคุยะ พวกเด็กคนอื่นก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกับฉันแล้วได้แต่ตัวสั่น
ไม่ใช่ว่าช่วยอะไรแท้ๆ เลยตกใจกับเรื่องที่ถูกบอกให้พูดขอบคุณ จากนั้นก็สับสนทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อยค่ะ”
“……นึกออกแล้วค่ะ จะว่าไปก็มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะคะ”
“นึกออกแล้วเหรอคะ !”
เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
กลายเป็นสีหน้ายิ้มแย้มในทันที
ใช่แล้ว
ตอนนั้นเห็นรุ่นน้องที่เข้มแข็งกำลังทำใจดีสู้เสือปกป้องเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลัง
เลยเข้าไปช่วย
โชคดีที่เป็นผู้คนที่ถ้าพูดกันก็เข้าใจ
เลยไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่อะไรด้วย
หลังจากที่ทำแบบนั้นและเรื่องจบลง
ก็พูดเสริมเรื่องที่แม้แต่ตัวเองก็ยังคิดว่าเกินความจำเป็น
พูดไปว่าไปขอบคุณคนที่ตัวเองเป็นคนปกป้องไว้ด้วยนะ
“ขอโทษค่ะ
ตอนนั้นพูดเกินไปสินะคะ”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้นเลย จริงอยู่ที่ตอนนั้นไม่เข้าใจเหตุผล ยอมรับไม่ได้
แล้วก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ๆตามที่ว่าค่ะ”
[หน้า 89]
“สินะคะ”
ตอนนั้นที่อยู่ในใจของซาคุยะคือเรื่องก่อนหน้านั้นไปอีกกว่าครึ่งปี
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของปีสอง
ในตอนนั้น
ที่หมู่บ้านมินาคามิซึ่งกลับไปตอนปิดเทอมหน้าร้อนหลังจากที่ไม่ได้กลับไปนานสิบปี
โคสุเกะผู้เป็นพี่ชายได้บังเอิญไปเจอกับสัตว์ประหลาดที่เรียกว่ายามาวาโระเข้า
เป็นสัตว์ประหลาดไม่มีวันตายที่อาศัยอยู่ในภูเขาและมีตัวตนอยู่ในตำนานโบราณของหมู่บ้านมินาคามิ
ถึงจะปกป้องโชวโกะที่เป็นลูกพี่ลูกน้องไว้ได้ แต่ก็ทำให้ติดต่อกับโคสุเกะไม่ได้ขึ้นมา
ที่ซาคุยะได้ไปยังหมู่บ้านมินาคามิก็คือตอนนั้น
การไปตรวจดูพี่ชายที่ติดต่อไม่ได้ขึ้นมาทั้งๆอย่างนั้นคือเป้าหมาย
ต่อมาซาคุเองก็ได้เผชิญกับยามาวาโระเช่นกัน
แล้วก็ได้ผ่านเหตุการณ์หลายอย่างทำให้รอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
หลังจากนั้น จนถึงตอนที่จะได้พบกันใหม่ในอีกหนึ่งปีให้หลัง
ก็ไม่เคยลืมวันเวลาแต่ละวันในฤดูร้อนนั้นเลย
ฤดูใบไม้ร่วงได้มาเยือน
ฤดูหนาวได้ผ่านพ้น รุ่นพี่ที่คอยปลอบโยนซาคุยะที่ซึมเศร้าเองก็จบการศึกษาไป
ในไม่ช้าก็กลายเป็นฤดูแห่งซากุระ ได้เริ่มหันมานับถอยหลังรอฤดูร้อนที่จะมาเยือนอีกครั้ง
แล้วก็ได้ไปพบกับภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้นเข้า
เด็กสาวคนหนึ่งกำลังปกป้องพวกเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลัง
ขาสั่นเล็กน้อย
ทำท่าจะทรุดลงไปเดี๋ยวนั้นเลย
[หน้า 90]
แม้ว่าแก้มจะซีดเผือดสีเลือดหายไป
ก็ไม่คิดที่จะหนีไปจากตรงนั้นเลย
มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเป็นโล่กำบังให้กับเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลัง
พอมองไปแล้ว
ซาคุยะก็นึกถึงคำพูดที่พี่ชายเคยพูดไว้ขึ้นมา
“อยากจะหนีแต่เพราะข้างหลังมีโชวโกะจังอยู่
คงเป็นเพราะเรื่องนั้นตอนนี้ก็เลยมีชีวิตอยู่แบบนี้ได้น่ะนะ
สามารถปกป้องสิ่งที่ตั้งใจว่าจะปกป้องไว้ได้”
คิดว่าอาจจะเป็นอะไรแบบนั้นก็ได้
ที่พวกเด็กผู้ชายไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้นเพราะพวกเธอไม่หนีแล้วรวมอยู่เป็นกลุ่มเดียว
สูญเสียที่เก็บอาวุธซึ่งง้างขึ้นไปครั้งหนึ่งแล้ว
ไม่ว่าทางไหนก็อยากจะถอยแท้ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย
ในขณะที่ได้รับการปกป้องอยู่
ก็ไม่ทิ้งเด็กสาวที่มายืนรับหน้าอยู่เบื้องหน้า แล้วใช้มุมอับที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ตรงข้างหลังหันหน้ามาหาซาคุยะแล้วโค้งศีรษะขอร้อง
พอเห็นสิ่งนั้น
ก็คิดว่าแบบนี้นี่เอง
ถึงจะอยู่โดยไม่หนี
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นโล่กำบังอยู่ด้วย
กำลังหาคนที่จะปกป้องพวกตัวเองและสามารถทำให้ผ่านพ้นสถานการณ์ตรงนี้ไปได้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่
“เมงุมิช่วยเรียกท่านซาคุยะมาให้สินะคะ
ตอนที่รู้ตัวเรื่องนั้นก็ตัดสินใจว่าจะลองคุยด้วยดูค่ะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น