คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจากหนังสือนิยาย
แปลมาจากหนังสือนิยาย
[หน้า 161]
“ไม่มีปัญหา เพราะจบลงด้วยการหาไม่เจอน่ะ……เอ๊ะ
นี่เป็นคำตอบที่แปลกสินะ ทั้งๆที่ไปตามหาแท้ๆ”
“ก็เป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ แต่……”
“ทางซาคุยะจังเป็นยังไงบ้างล่ะ ?”
“ข่าวลือซับซ้อนขึ้นมายังไงไม่รู้
อาจจะใช้อ้างอิงไม่ได้เท่าไรค่ะ”
“ยังไงเหรอ ?”
“มีเรื่องสองเรื่องผสมปนเปกันจนไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นความจริงบ้างค่ะ
จะเรียกว่าเป็นโชคดี……ได้รึเปล่าฉันก็กำลังสับสนอยู่ ……แต่ได้ฟังเรื่องราวมาจากท่านที่ได้รับบาดเจ็บค่ะ”
“อะไรกัน
ถ้าอย่างนั้นของอย่างข่าวลือจะเป็นยังไงก็ได้ไม่ใช่เหรอไง แล้ว เป็นยังไงเหรอ ?”
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรค่ะ”
“…………พอว่าแบบนั้นแล้ว ?”
“เรื่องนั้น……”
นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเย็น
เธอได้ออกไปซื้อของตอนกลางคืนแบบที่ซาคุยะทำ
เวลาที่ไปนั้นค่อนข้างดึกเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้น
เนื่องจากตั้งแต่กลางดึกเป็นต้นไปจะไม่สามารถออกไปนอกพื้นที่ของโรงเรียนได้
เลยเป็นเวลาก่อนสี่ทุ่มไม่ผิดแน่
[หน้า 162]
ทีแรกได้ยินเสียง
พลั่ก !
พลั่ก ! กร็อบ ! มีเสียงกำลังทุบอะไรบางอย่างดังขึ้น
ตอนแรกที่ได้ยินคิดว่าเป็นเสียงกำลังหักกิ่งไม้
ถึงจะเป็นการทำพวงมาลัยคริสต์มาส
ก็ยังถือว่าเร็วเกินไป
ตอนที่ถูกความอยากรู้อยากเห็นรบเร้าว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
แล้วแอบมองเข้าไป------ก็พบว่ามีสิ่งนั้นอยู่
“บอกว่าเห็นเงาขนาดใหญ่ค่ะ ดูเหมือนร่างกายเป็นตะปุ่มตะป่ำเลยไม่เห็นเป็นรูปร่างสัตว์ที่รู้จัก
แล้วตอนที่กำลังจะหนีก็หกล้มจนขาแพลงเข้า
หลังจากนั้นดูเหมือนจะอยู่ในสภาพนั้นไปจนได้รับการช่วยพยุงให้ลุกขึ้นค่ะ”
“หืมม เงาขนาดใหญ่งั้นเหรอ ……ถ้าเกี่ยวข้องกับยามาวาโระล่ะก็เป็นธรรมดานะ
แต่ว่าถ้าแบบนี้ล่ะก็รู้ขนาดชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง ? ที่บอกว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรอะไรนั่นน่ะ
ไม่เป็นแบบนั้นหรอกนะ”
“เรื่องนั้น……จะมีสัตว์ใหญ่แบบนั้นอยู่จริงๆรึเปล่าก็ยังไม่แน่ชัดค่ะ”
“อ๊ะ ไปดูสถานที่เกิดเหตุมาแล้วหรอกเหรอ”
“ค่ะ”
พอฟังเรื่องไปแล้วก็ถามถึงสถานที่เกิดเหตุ
เพราะเป็นถนนที่เป็นกลางทางระหว่างออกจากพื้นที่ของโรงเรียนไปยังร้านสะดวกซื้อ
เลยอยู่ใกล้พื้นที่มาก
[หน้า 163]
ถ้าทำอะไรซักอย่างที่ทำให้เกิดเสียงดังอยู่ในที่แบบนั้นล่ะก็
ตอนนี้เองก็น่าจะเหลือร่องรอยอยู่
คิดแบบนั้นแล้วลองไปดู
แต่ก็ไม่สามารถพบอะไรได้เลย
“สรุปคือ……จู่ๆทางตัวที่บาดเจ็บแล้วได้รับการดูแลก็หายไป
แล้วทางตัวที่เห็นตอนกลางคืนก็กำลังทำอะไรบางอย่างเสียงดังอยู่”
“ดูเหมือนเด็กที่ชมรมเลี้ยงสัตว์กำลังกังวลจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่จริงๆแล้วสัตว์ที่เคยดูแลก็โดนกินไปซะแล้วรึเปล่าอยู่น่ะค่ะ”
“นั่นก็เป็นไปได้เหมือนกันสินะ”
“รู้สึกเหมือนกับว่าเด็กที่ได้รับบาดเจ็บกำลังสงสัยว่าเป็นการปล่อยให้หนีไปก่อนที่จะถูกจับน่ะค่ะ”
“……นั่นก็เป็นไปได้เหมือนกันสินะ……”
กิงโกะไหล่ตก
สุดท้ายแล้ว
ถ้าถกกันโดยใช้แค่ความเป็นไปได้ล่ะก็ จะกลายเป็นว่าไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้หมด
“เพราะแบบนั้นเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรค่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็คิดว่าช่วยไม่ได้นะ ……แล้วจริงๆ เรื่องเกี่ยวกับยามาวาโระเนี่ยให้ความรู้สึกแบบนี้เสมอนั่นล่ะ”
“อ๊ะ แล้วก็มีคำถามน่ะค่ะ
ได้รึเปล่าคะ ?”
“เชิญเล้ย”
[หน้า 164]
“เป็นการต่อจากเรื่องที่คุยเมื่อวานนะคะ
เรื่องการเรียกสัตว์ตายยากที่มีผ้าคลุมนางฟ้าเหลืออยู่ในร่างกายเฉยๆไม่ได้รับคำสั่งให้โจมตีมนุษย์แล้วว่ายามาวาโระต่อไปน่ะค่ะ
แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้นก็แปลว่าตอนนี้ทุกตัวไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสัตว์ธรรมดาแล้ว
เพราะแบบนั้นป่านนี้ยังล่าของแบบที่ปกติธรรมดาไม่กินอยู่อีกเหรอคะ ?”
“คิดว่าตอนนี้ยังล่าอยู่น้า……เวลายังผ่านไปไม่นานเท่าไรด้วยสิ”
“เวลา……หมายถึงจำนวนวันที่ผ่านมานับจากฤดูร้อนสินะคะ
นั่นมีความเกี่ยวข้องกันเหรอคะ ?”
“มีๆ มีมากเลยล่ะ
ก็จะให้เปลี่ยนนิสัยที่ติดตัวมาอย่างกะทันหันอะไรเนี่ย
แม้แต่มนุษย์เองทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ทั้งๆที่ทานของอย่างเดียวกันมาตลอดจนถึงตอนนั้น
วันหนึ่งจู่ๆจะให้เปลี่ยนเนี่ย คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
“แบบนี้นี่เอง……ยิ่งเพราะเป็นสัตว์ธรรมดา
ก็เลยทำตามนิสัยติดตัวที่ทำมาจนถึงตอนนั้นสินะคะ”
“ก็เป็นแบบนั้นล่ะนะ
เรื่องนี้ถ้าเวลาผ่านไปมากกว่านี้
วันคืนผ่านไปขนาดที่ชีวิตของสัตว์ธรรมดาหมดอายุขัยลงล่ะก็
อาจจะต่างกันไปอีกก็เป็นได้”
ท่าทางจะใช้เป็นเบาะแสไม่ได้
สุดท้ายแล้วก็มีแต่ต้องเดินหาเอาแบบที่พี่ชายเคยทำรึเปล่านะ
? แต่ต่อมากิงโกะยกมือขึ้นเล็กน้อยให้กับซาคุยะที่ครุ่นคิด
“คราวนี้เป็นทางฉันบ้าง
พบซากสัตว์ที่เหมือนจะโดนอะไรบางอย่างกินในป่าล่ะ”
“……เป็นแบบไหนเหรอคะ ?”
[หน้า 165]
“ดูจากขนสัตว์ที่เหลือแล้ว
เดิมเป็นหมาหรือไม่ก็แมวรึเปล่านะ โดนกินหายไปเยอะจนแทบดูไม่ออกเลยน่ะ”
“เป็นอย่างที่คิด เสียงที่ท่านที่ได้รับบาดเจ็บได้ยินเองก็เป็นเสียงตอนกำลังกินใช่ไหมคะ”
“ถ้ากินแม้แต่กระดูกล่ะก็
นั่นก็ท่าทางจะเป็นไปได้นะ แต่ว่าถ้าแบบนั้นแล้วก็จะกลายเป็นข้อสงสัยที่ว่าทั้งๆที่มีมนุษย์อยู่ตรงหน้าใกล้ๆ
ทำไมตัวที่ดุร้ายแบบนั้นถึงไม่เข้าไปโจมตีกันนะ ? ด้วยน่ะ”
“อย่างที่คิดไว้ นั่นก็เป็นนิสัยติดตัวเหมือนกัน……”
“ถ้าเป็นสัตว์รอบคอบ คอยระวังมนุษย์
ไม่ประมาทล่ะก็ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้พอสมควรเลยล่ะนะ”
เพราะมีอคติที่ว่าเป็นสิ่งที่โจมตีมนุษย์
ก็เลยมีข้อสงสัยโผล่มา
ทว่า
พอคิดว่ายังไงก็เป็นแค่สัตว์ธรรมดาแล้ว จะคิดได้ด้วยว่าท่าทางจะหาเหตุผลให้กับเหตุการณ์ที่เห็นว่าไม่อาจเข้าใจได้
แต่ไม่ว่ายังไงก็มีความรู้สึกขัดแย้งตามมาด้วย
“นั่นยังไงก็แปลกค่ะ”
“ทำไมเหรอ ?”
“ถ้าเป็นสัตว์ที่มีความระมัดระวังสูงขนาดนั้นจริงๆล่ะก็
ทำไมถึงได้เลือกพื้นที่ใกล้สถานที่ที่มีคนเยอะขนาดนี้เป็นพื้นที่หากินเหรอคะ ถึงจะแค่วันสองวันก็เถอะ
แต่ยังอยู่ในที่เดียวกันต่อไปเนี่ย มันแปลกค่ะ”
ถึงตัวเองจะเป็นคนพูดเอง แต่ก็กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าถ้าอย่างนั้นแล้วเป็นเรื่องแบบไหนกันนะ
ยามาวาโระในตอนนี้ไม่ได้รับคำสั่งให้ทำอันตรายมนุษย์
เป็นแค่สัตว์ธรรมดา
ทว่า
สัตว์แต่ละตัวก็มีความแตกต่างของลักษณะเฉพาะหรือนิสัยอยู่เช่นกัน
ถึงจะเป็นสุนัขพันธุ์เดียวกันก็ใช่ว่าจะมีนิสัยแบบเดียวกัน
แม้แต่ความชอบในการกินเองก็น่าจะต่างกัน
[หน้า 166]
เมื่อครู่ได้คุยเรื่องนิสัยติดตัวของแต่ละตัวไป
คำสั่งที่เป็นเหมือนคำสาปได้หยุดลงแล้ว
แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนของกินกะทันหันได้ เพราะนั่นทำไปเพื่อการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง
ถ้าอย่างนั้นการที่สัตว์ที่เคยสร้างอันตรายให้กับมนุษย์เรื่อยมายังปักหลักอาศัยอยู่ใกล้ๆสถานที่ที่มีฝูงชนอาศัยอยู่ต่อไปก็แปลว่า……
“……ไม่อยากจะคิดเท่าไรเลยค่ะ
แต่…”
เรื่องอย่างพวกตัวเองกำลังถูกมองแบบนั้นอยู่อะไรนั่น
ไม่อยากจะคิดเลย
ทั้งๆที่เคยเห็นคอกสัตว์มาแล้วแท้ๆ
ถึงตัวเองจะคิดว่าวิธีพูดที่เอาแต่ใจ
แต่ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรงก็เอ่อล้นขึ้นมา
“กำลังคิดว่าโรงเรียนเป็นพื้นที่หากินอยู่……เป็นต้น……”
“…………ไม่สามารถพูดได้เต็มปากหรอกนะว่าไม่เป็นแบบนั้น”
คำพูดของกิงโกะเองก็ดูเลี่ยงๆยังไงไม่รู้
จะปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเกินไปไม่ได้
นั่นคือข้อสรุปที่ทั้งคู่ได้มา
[หน้า 167]
“แยกกันหาเถอะค่ะ”
จนมาถึงตอนนี้เองก็มีข้อมูลการพบเห็นออกมาอยู่
ถ้าจะตามหาล่ะก็รีบๆน่าจะดีกว่า
“ซาคุยะจังอาจจะเป็นอันตรายก็ได้
เลยคิดว่าควรจะอยู่ที่นี่นะ”
“ถ้าแค่พอเจอตัวแล้วติดต่อไปล่ะก็ไม่มีปัญหาค่ะ”
“โคจังเองก็เป็นแบบนั้น แต่วางใจเถอะ
ยอมแพ้ที่จะหยุดแล้วล่ะ ก่อนอื่นถอดเสื้อผ้าออกทีสิ”
“เอ๊ะ เอ๋…… ! ?”
“แค่ข้างบนก็ได้”
“ดะ เดี๋ยวสิคะ คุณกิงโกะ !?”
กางผ้าคลุมนางฟ้าออกจากสภาพแผ่นให้กลายเป็นผ้าแล้วถือไว้ในมือ
โดยไม่สนใจซาคุยะที่ตกใจ
ทั้งๆที่ส่องประกายใกล้เคียงกับโลหะซึ่งไม่เห็นว่ามีความยืดหยุ่นแท้ๆ
พอดึงไปด้านข้างก็จะยืดออกไปเรื่อยๆเท่าที่ดึง
จับมือซาคุยะแล้วพันรอบมือ
“ก่อนอื่นจะพันส่วนที่มองเห็นหรือส่วนที่ถ้าโดนกัดจะเป็นอันตรายไว้
คิดว่าแค่นี้ก็ปลอดภัยไปได้ระดับหนึ่ง แต่อย่าทำอะไรเกินควรนะ”
“ขะ ขอบคุณค่ะ”
เพราะเข้าใจเจตนาแล้ว
เลยเลิกขัดขืนแล้วถอดเสื้อนอกออก
[หน้า 168]
คิดไปว่าจำเป็นต้องโป๊รึเปล่า
แต่กิงโกะก็พันผ้าคลุมนางฟ้าทับด้านบนของชุดชั้นในไปโดยไม่สนใจ
แค่พริบตาที่สัมผัสกับผิวเท่านั้นที่รู้สึกขัดๆ
แต่ก็ชินไปทันทีจนเลิกคิดไป
“มีความทนทานประมาณไหนเหรอคะ ?”
“ความรู้สึกประมาณนี้ล่ะมั้ง ?”
หยิบปากกาลูกลื่นบนโต๊ะขึ้นมาไว้ในมือ
หันส่วนด้ามเข้ามา
จากนั้นเล็งไปที่ท้องของซาคุยะแล้วเหวี่ยงลงมาอย่างแรง
“------------ !”
เผลอหลับตาไป……แต่แรงกระทบที่คิดว่าจะมาถึงนั้นเบา
แค่เกิดเสียงสูงสั้นๆคล้ายเสียงกระทบโลหะดัง แก๊ง !
“เพราะจะสะท้อนแรงที่เกินจากระดับที่กำหนดไว้ไป
ถึงจะถูกยิงด้วยปืนก็สบายมาก คิดว่าถ้าแค่เขี้ยวสัตว์ล่ะก็ผ่านไปไม่ได้หรอก
แต่อย่าทำอะไรเกินควรล่ะ”
“เฮ้อ……สะดวกดีนะคะ นี่น่ะ”
“แต่ถ้าเป็นยามาวาโระตัวที่แข็งแกร่งก็ไม่ค่อยมีความหมายเท่าไรหรอกนะ”
“เป็นอย่างนั้นหรือคะ ? การป้องกันจะถูกทำลายเหรอคะ”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่เพราะใช้ผ้าคลุมนางฟ้าพันร่างกายไปเยอะ
พลังโจมตีเลยตกลงไปมากน่ะ
ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็แม้แต่ยามาวาโระตัวที่แข็งแกร่งเล็กน้อยก็ล้มไม่ได้แล้วด้วย ถ้าแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยราวๆแขนหายไปล่ะก็เดี๋ยวก็หาย
สำหรับตัวฉันเองแล้วเลยไม่ค่อยมีความหมายอะไรเท่าไรน่ะ โดยเฉพาะตอนนี้กำลังใช้งานหลายๆแบบอยู่
ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นบ้าง ทำให้เสียงลอดออกไปไม่ได้บ้าง ทางด้านเสียงตั้งใจจะยกเลิกกลับเป็นผ้าคลุมนางฟ้าไว้ก่อนออกไปน่ะ”
[หน้า 169]
“นั่นไม่มีทางเป็นอาการบาดเจ็บเล็กน้อยไปได้แน่ๆค่ะ
แต่ยังไงก็ป่านนี้แล้ว พักเรื่องนี้ไว้ก่อน……เพราะปริมาณโดยรวมของผ้าคลุมนางฟ้าถูกกำหนดไว้
เลยกลายเป็นเรื่องที่ว่าจะแบ่งใช้ยังไงเหรอคะ”
“ก็เป็นเรื่องแบบนั้นล่ะน่ะ”
“ว่าแต่พลังลดลงไประดับไหนเหรอคะ
?”
“ถ้าเป็นระยะใกล้ก็ประมาณสร้างมีดเล่มเล็กๆได้
ประเภทระยะไกลนี่ไม่ไหวสินะ อย่างอันที่ใช้มัดหรือใช้ติดตั้งอะไรที่คล้ายกล้องไว้ที่อื่นน่ะ
วัตถุดิบที่จะเอามาใช้เป็นอาวุธตั้งใจว่าจะเก็บคืนมาใช้จากอันที่วางไว้ข้างนอก
เลยทำให้สังเกตการณ์ไม่ได้อีกจนกว่าจะเอาไปติดตั้งใหม่ ที่เหลือการโจมตีด้วยไฟฟ้าเองก็เบาลงด้วยสิน้า……เพราะเป็นไฟฟ้าสถิตที่สร้างมาจากการเสียดสีอนุภาคของผ้าคลุมนางฟ้าด้วยกัน
พอผ้าคลุมนางฟ้าที่มีอยู่ลดลง ปริมาณอิเล็กตรอนก็เลยลดลงตามไปด้วยสินะ”
“เป็นอะไรที่เปลี่ยนไปขนาดนั้นเหรอเลยคะ”
“ถ้าเป็นตอนอยู่ในสภาพสมบูรณ์
แล้วหลังจากนั้นถึงพลังจะตกลงไปชั่วขณะก็ไม่เป็นไรล่ะก็ จะปล่อยออกมาได้ราวๆครึ่งนึงของฟ้าผ่าเลยนะ
ราวๆห้าสิบล้านโวลต์รึเปล่านะ”
“……ละ
แล้วตอนนี้เหลือประมาณไหนเหรอคะ ?”
[หน้า 170]
“ประมาณเครื่องช็อตไฟฟ้ารึเปล่าน้า
ราวๆทำให้ส่งเสียงเปรี๊ยะๆได้น่ะ”
เปลี่ยนแปลงไปมาก
ถึงมองจากสายตาของซาคุยะแล้วจะเห็นเป็นอุปกรณ์ที่ทำได้ทุกอย่าง
แต่ก็ดูเหมือนจะมีข้อจำกัดในตัวมันเองอยู่ด้วย
“แต่เพราะไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนการป้องกันของผ้าคลุมนางฟ้า
อย่าฝืนนะ ไม่ได้คลุมหน้าไว้ด้วยเพราะจะหายใจไม่ออก
หลังจากนั้นถ้าฉันเป็นฝ่ายเจอก่อนล่ะก็จะยกเลิกผ้าคลุมนางฟ้าที่ติดไว้ที่ซาคุยะจัง
ใช้นั่นเป็นสัญญาณนะ ในกรณีที่ทางนั้นเป็นฝ่ายเจอก่อน เพราะรู้เสียงกับตำแหน่งอยู่แล้ว
เชื่อมาแล้วฝากได้เลย”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
แยกกันเป็นสองทางที่หน้าหอพัก
กิงโกะไปยังป่าที่มีสิ่งที่คิดว่าเป็นร่องรอยการกินอยู่
ซาคุยะมุ่งหน้าไปทางประตูทางเข้าที่เคยมีผู้เห็นเหตุการณ์
ที่ห้องยามนั้น วันนี้เองก็มีแสงไฟสว่างอยู่เช่นเคย
คิดเล็กน้อยว่าจะออกไปข้างนอกหรือจะเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ในพื้นที่โรงเรียน
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ
คืออยากจะออกไปข้างนอกน่ะค่ะ ได้รึเปล่าคะ”
“ได้ค่ะ ระวังทางด้วยนะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น