คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจากหนังสือนิยาย
แปลมาจากหนังสือนิยาย
[หน้า 51]
“แม้แต่หนูเองก็รู้สึกไม่ดีค่ะ
จะว่ายังไงดี อย่าพูดเรื่องแปลกๆสิคะ เพราะเดิมทีถึงพี่จะพูดเรื่องแบบนั้นไปก็ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความน่าเชื่อถือเลยนะคะ”
‘ก็น้า’
จากความสัมพันธ์ของซาคุยะกับพี่ชายแล้ว
ไม่มีสิทธิจะไปพูดนั่นพูดนี่กับคนอื่นได้
แล้วก็สามารถพูดได้ว่าเพราะแบบนั้นนี่ล่ะ
ซาคุยะเลยสามารถตีความเหตุการณ์ดังกล่าวได้อย่างใจเย็น คิดว่าเรื่องนั้นมันอาจจะลักลั่นย้อนแย้งนิดหน่อยก็เป็นได้
จากนั้นถอนหายใจเล็กน้อยอยู่ภายในใจ
“กล่าวคือนอกจากความรักแล้วพวกเธอต้องการคนที่พึ่งพาได้ด้วยค่ะ
ถ้าอยู่ที่โรงเรียนก็จำเป็นต้องออกห่างจากครอบครัว ถึงอย่างนั้นก็แทบจะไม่มีคนที่แข็งแกร่งขนาดที่กระโจนออกไปยังโลกภายนอกกะทันหันแล้วสามารถสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาในโลกที่ไม่มีพวกพ้องที่เรียกว่าเพื่อนร่วมชั้นอยู่ค่ะ และ ณ จุดนั้นก็จะค้นพบภาพอุดมคติในรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าและพึ่งพาได้
คิดว่าการนำภาพนั้นไปซ้อนกับรูปเคารพที่มีอยู่ในตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเป็นพิเศษค่ะ”
‘จริงๆแล้วเหตุการณ์แบบนั้นก็ไม่ได้พบเห็นยากอะไรน่ะนะ
เป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่ในอดีตนานมาแล้วด้วย’
“อย่างนั้นหรือคะ ?”
เป็นข้อสรุปสุดท้ายที่ได้มาจากการคิดและคิดอย่างถี่ถ้วน
คำตอบสำหรับข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้งที่คงจะมีมาสำหรับเรื่องนั้นเองก็ได้เตรียมไว้แล้วเหมือนกัน
แต่คำตอบของโคสุเกะกลับเป็นการเห็นพ้องอย่างง่ายดาย
‘มีเรื่องที่เรียกว่าการบูชารูปเคารพอยู่ มีจุดที่เกี่ยวโยงกับเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันนะ
ตอนที่ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกส่วนตัวดีก็จะอธิษฐานกับพระเจ้า จากนั้นก็จะได้ปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองผ่านการฝากฝังคำอธิษฐานไว้กับรูปเคารพ”
[หน้า 52]
“เหมือนกับการอธิษฐานของนักบวชเคร่งๆยังไงไม่รู้สินะคะ……ทฤษฎีก็ท่าทางจะพอเข้าใจได้อยู่หรอกค่ะ
แต่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกว่ามันเป็นจริงเลยค่ะ”
‘พี่ก็ด้วยล่ะ’
ทั้งที่ตัวเองอธิบายซะคล่องแท้ๆ ซาคุยะคิดแบบนั้นนิดๆ
คงไม่ใช่ว่าเรื่องนั้นได้ส่งผ่านโทรศัพท์ไป แต่โคสุเกะก็พูดต่อ
‘พระพุทธรูปหรือรูปปั้นหิน……ถ้าแค่อธิษฐานกับของที่เลียนแบบพระเจ้าเฉยๆล่ะก็
แค่ความเห็นของซาคุยะก็ยอมรับได้ แต่ว่ามันไม่ใช่แค่นั้นนะ
เรื่องนี้ก็ถูกนำมาใช้กับมนุษย์ด้วย’
“เอ
พระเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่เหรอคะ ?”
‘ในความหมายหนึ่งอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ’
ได้ยินเสียงหัวเราะเจื่อนๆให้กับความเห็นแบบตรงๆดังมาจากในโทรศัพท์
“ยกตัวอย่างเช่นมิโกะที่ดูแลเรื่องพิธีกรรมชินโตทั้งหมดอย่างอิโรฮะเองก็ถูกคนในหมู่บ้านมองแบบนั้นบ้างเหมือนกัน
ยัยนั่นเป็นแค่มิโกะธรรมดาๆแล้วก็ไม่ได้ไปสอนใครหรือไปสั่งการโดยตรงในการบริหารจัดการหมู่บ้านด้วย
แต่ว่าแค่เป็นมิโกะของศาลเจ้าใหญ่ก็เป็นจุดสนใจแล้ว บางครั้งการกระทำทุกอย่างก็ถูกทำเป็นเหมือนแนวทางปฏิบัติด้วยเช่นกัน
ถ้าอิโรฮะเป็นคนน่านับถือล่ะก็คงจะมีบ้านที่สอนว่าจงเป็นเด็กอย่างอิโรฮะซะอยู่เหมือนกัน”
[หน้า 53]
“แล้วในความเป็นจริงคุณอิโรฮะก็เป็นคนน่านับถือ
เพราะแบบนั้นท่าทางจะมีอยู่เยอะเลยนะคะ”
ในขณะที่พูดตอบรับไปก็นึกถึงใบหน้าของเพื่อนสมัยเด็กที่อายุมากกว่า
คาสุกะ อิโรฮะที่พูดถึงในการสนทนาเมื่อครู่นั้นมีอายุเท่ากับมินางามิ
โคสุเกะผู้เป็นพี่ชาย
มีใบหน้าสวยได้รูปและตัวสูงหุ่นดี
แต่เจ้าตัวก็ไม่แม้แต่จะภูมิใจกับเรื่องนั้นเลยด้วยซ้ำและจะทำตัวธรรมดาๆอยู่เสมอ
นิสัยร่าเริงนั้นเป็นที่ชื่นชอบโดยไม่จำกัดเพศและวัย
และเจ้าตัวก็เป็นคนมีความพยายามด้วย
งานเทศกาลฤดูร้อนของหมู่บ้านมินาคามินั้นได้แสดงความครึกครื้นออกมาให้เห็นเป็นอย่างมาก
เพราะมีคนอย่างอิโรฮะรับผิดชอบงานเทศกาลของหมู่บ้านอยู่
ทำให้ฝั่งที่มาช่วยงานเองก็กระตือรือร้น และความเร่าร้อนนั้นก็ส่งผ่านไปถึงผู้เข้าร่วมงานด้วย
ถ้ายุคสมัยคือยุคสมัยแล้วล่ะก็
อาจจะถูกปฏิบัติเหมือนเป็นพระเจ้าที่ยังมีชีวิตเหมือนกับที่โคสุเกะเพิ่งบอกไปก็เป็นได้
‘กลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่เป็นภาพรวมของหมู่บ้านหนึ่งไปแล้ว
แต่เรื่องแบบนี้ในสังคมที่เล็กกว่าเองก็เกิดขึ้นพอตัวนะ’
“อย่างเช่น……ที่โรงเรียนด้วยเหรอคะ
?”
‘ทางนี้คงจะเกิดขึ้นมากกว่าด้วยซ้ำ
มีประธานนักเรียนที่ความประพฤติดีอยู่ แล้วอาจารย์ก็กระตุ้นด้วยคำพูดแรงๆว่าจงทำตัวอย่างประธานนักเรียนซะ
หรือไม่ก็เรื่องที่เด็กผู้หญิงกรี๊ดกร๊าดกับนักเลงที่ความประพฤติไม่ดีแต่มีความสามารถในการทำเรื่องต่างๆให้สำเร็จบ้าง’
“ถึงยังไง อย่างหลังโรงเรียนหนูก็ไม่มีค่ะแต่……”
‘เป็นแค่เรื่องที่ว่าไม่ว่าจะทางไหนก็มีรากฐานเดียวกันน่ะนะ ช่วงก่อนที่พี่จะเข้ามหาวิทยาลัยเองก็มีประธานนักเรียนเป็นผู้ชาย
แต่คงจะไม่เคยได้ของอย่างจดหมายรักจากผู้ชายหรอก’
[หน้า 54]
“เรื่องนั้นเป็นธรรมดาอยู่แล้วค่ะ”
‘แต่ว่า
เป็นเรื่องที่พูดถึงว่าถ้าเป็นโรงเรียนชายล้วนแล้วล่ะก็อาจจะมีเรื่องแบบนั้นด้วยก็ได้”
เป็นแบบนั้นจริงๆเหรอ
? ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ
จากนั้นซาคุยะก็ส่ายหน้า กะแล้วว่าตอนนี้กำลังโดนล้อเล่นอยู่
“พอนอกเรื่องไปทางนั้นมากเกินไปก็เริ่มสงสัยขึ้นมาว่าพี่มีรสนิยมทางเพศผิดปกติรึเปล่าแล้วนะคะ”
‘เรื่องที่พี่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเนี่ย
เธอรู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ’
“……หนวกหูค่ะ”
ในขณะที่ตอบกลับไปอย่างเหนื่อยใจ
ก็คิดตรึกตรองเรื่องที่พี่ชายพูด
กล่าวคือตัวเธอเองก็ถูกทำเป็นเป้าหมายของการบูชารูปเคารพในสังคมแคบๆงั้นเหรอ
?
ทว่า
ถึงจะมองย้อนกลับไปดูการกระทำของตัวเองตั้งแต่เข้าโรงเรียนมา
ซาคุยะก็จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยโดดเด่นขนาดที่ทำให้เป็นที่รักของคนอื่น
ในทางกลับกันตอนนี้ก็มีแม้แต่ความรู้สึกที่ว่าได้ถูกยกย่องไปในขณะที่ไม่รู้ตัว
ซาคุยะคิดได้ว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ตัวเองถูกยกย่องเชิดชูเป็นรูปเคารพ
“กลับมาเข้าเรื่องนะคะ
ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกแปลกเข้าไปใหญ่ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องความหมายที่แฝงอยู่ในฐานะสัญลักษณ์เหมือนกับตัวอย่างที่พี่ยกขึ้นมาแล้วล่ะก็
หนูไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นเหตุผลอย่างอื่นหรอกเหรอคะ”
‘คงจะเป็นแบบนั้นล่ะนะ’
[หน้า 55]
พูดย้อนพี่ชายที่เห็นด้วยทันทีไปว่า “ถ้าคิดแบบนั้นอยู่แล้วล่ะก็กรุณาพูดมาตั้งแต่แรกด้วยค่ะ”
จากนั้นก็เร่งให้พูดต่อ
กำลังคุยเรื่องไร้สาระกับซาคุยะอย่างสนุกสนานอยู่งั้นเหรอ
หรือว่าถัดจากนี้ไปมีเหตุผลอย่างอื่นอยู่ก็เลยพูดเรื่องรูปเคารพเมื่อกี้
ถ้าอ้างอิงจากความคิดของพี่ชายที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็คิดได้ว่าไม่ว่าจะทางไหนก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
‘เพราะพี่ไม่ได้ประเมินค่าซาคุยะต่ำเหมือนตัวซาคุยะเอง
เลยคิดว่าเรื่องแฟนคลับก็เป็นไปได้เป็นธรรมดา แต่ว่าซาคุยะยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
?’
“แน่นอนค่ะ”
‘จุดเริ่มต้นคือจุดสิ้นสุด
มีแต่ต้องไปถามกับพวกเจ้าตัวเท่านั้นล่ะ แต่ว่า……นั่นสินะ
บางทีเหตุผลอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆก็ได้นะ’
“เหตุผลแบบคนธรรมดาทั่วๆไปเหรอคะ
?”
‘เป็นแบบนั้นล่ะ
กลับไปที่เรื่องรูปเคารพเมื่อกี้
แม้แต่คนในวงการบันเทิงอย่างไอดอลเองก็เป็นเรื่องนี้ เพราะว่าในสังคมแคบๆจะมีการหลงใหลศรัทธาคนที่โดดเด่นอยู่คู่กันเป็นพื้นฐานน่ะนะ
ในกรณีนี้ฝั่งที่หลงใหลศรัทธาไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไร ……ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยหรอกนะ แต่เหตุผลจะคลุมเครือกว่าในตัวอย่างเมื่อกี้มาก’
“เรื่องนั้นทำไมเหรอคะ ?”
‘เพราะว่าเหตุผลจะกลายเป็นของที่คลุมเครือไปตามคำพูดเลยไง
เมื่อกี้ยกอิโรฮะหรือประธานนักเรียนขึ้นมาเป็นตัวอย่าง แต่นั่นเกิดขึ้นเพราะได้ไปคบหาเป็นคนใกล้ตัว
ถ้าเป็นบุคคลที่ถึงจะเป็นในชีวิตประจำวันธรรมดาที่มีนิสัยที่แท้จริงของเจ้าตัวปรากฏออกมาให้เห็นแล้วยังควรค่าแก่การเคารพอยู่ล่ะก็
จะเกิดความเคารพในบุคลิกหรือนิสัยของอีกฝ่ายขึ้นมา’
[หน้า 56]
“กล่าวคือเป็นเพราะในกรณีที่ไม่รู้เรื่องของท่านนั้นดีเท่าไร
ทั้งนิสัย, บุคลิก หรือเรื่องที่ทำเป็นปกติเลยมีแต่ต้องจินตนาการเอาเองเท่านั้นสินะคะ……”
เพราะแบบนั้นก็เลยคลุมเครือไป
เรื่องที่เจ้าตัวเป็นคนแบบไหนกันแน่และกำลังคิดอะไรอยู่นั้นจะไม่ถูกนำมาพิจารณา
ไม่สนใจว่าจะมีบุคลิก,
รสนิยมความชอบแบบไหน
แค่ถูกยกย่องสรรเสริญอยู่ด้านเดียวแล้วก็ส่งผลกระทบต่อคนอื่น
และเรื่องนั้นเองก็เป็นในขณะที่เจ้าตัวไม่รู้เช่นกัน
“ในที่สุดก็รู้สึกว่าเข้าใจได้แล้วล่ะค่ะว่าทำไมถึงได้รู้สึกต่อต้านขนาดนี้”
พูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจให้พี่ชายผ่านทางโทรศัพท์
“ถึงจะบอกว่าเป็นแฟนคลับแต่ก็ไม่สนใจความสะดวกของหนูหรืออะไรเลยสินะคะ
ถ้าถือมาในฐานะการเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่แรกล่ะก็ คิดว่าถึงจะไม่ยินยอมก็คงไม่ปฏิเสธตั้งแต่ตอนแรกแท้ๆ
แต่กลับถูกตัดสินเอาเองอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่มีแม้แต่พื้นที่เหลือให้เจรจา
คิดว่ารู้สึกต่อต้านกับเรื่องนั้นค่ะ”
‘คิดว่าคงเป็นแบบนั้นนั่นล่ะ’
มีรอยยิ้มเจื่อนๆปนมากับคำพูดในโทรศัพท์
คงจะมองเรื่องของซาคุยะออกนานแล้ว
[หน้า 57]
“พี่คะ ยังไงหนูก็จะไปปฏิเสธค่ะ
ถึงแม้ว่าผลลัพธ์นั้นจะทำให้หาการคนมาแทนลำบากก็ตามที แต่ยอมรับไม่ได้ค่ะ”
‘ทำแบบนั้นก็ได้ ……อืม สำหรับพี่แล้วที่ไม่ได้เห็นคอสเพลย์ของซาคุยะก็เสียดายอยู่หรอกนะ’
“ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ
พี่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหรอกค่ะ”
ตัดบทพี่ชายที่พูดเก่งไปแล้ววางสายโทรศัพท์
ตอนที่กลับมาที่ตึกเรียนนั้นดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงมาเรียบร้อยแล้ว
พอเดินไปบนระเบียงทางเดินที่ถูกย้อมเป็นสีส้มแดง
ก็สัมผัสได้ถึงความเร็วของเวลาพระอาทิตย์ตกดินในฤดูหนาว
ทั้งๆที่เพิ่งลิ้มรสความร้อนของฤดูร้อนที่บ้านเกิดไปจนถึงเมื่อไม่นานมานี้แท้ๆ
แต่ตอนนี้กลับให้เสื้อนอกห่างตัวไม่ได้เลย
“ไม่ค่อยเข้าใจความหมายเลยค่ะ”
ในขณะที่เดินไปความไม่พอใจก็เอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงจะเป็นกลุ่มน่าสงสัยชื่อ MSF ที่เสนอชื่อซาคุยะเข้าประกวด
แต่ก็น่าจะเป็นนักเรียนเหมือนกัน การที่กลุ่มนั้นทำเรื่องอย่างทำกิจกรรมเป็นแฟนคลับของนักเรียนเหมือนกันที่ไม่มีอะไรโดดเด่นนั้นเกินข่ายความเข้าใจไปอยู่
“ถ้านี่เป็นท่านที่โดดเด่นอย่างประธานนักเรียนหรือประธานที่บริหารอะไรซักอย่างล่ะก็ยังพอว่า……”
นึกถึงเรื่องรูปเคารพเมื่อกี้
[หน้า 58]
ในสังคมแคบๆที่เรียกว่าชีวิตในโรงเรียนนั้น
การมีความปรารถนาว่า ‘ตัวเองก็อยากใช้ชีวิตในโรงเรียนแบบนั้นบ้าง’
ต่อคนที่มีจุดเด่นหรือจุดดึงดูดอะไรซักอย่างถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้น ตัวซาคุยะนั้นไม่ได้หลงเหลือผลงานสำคัญทิ้งไว้ที่โรงเรียน
ซาคุยะทิ้งความเป็นไปได้ที่ว่าเป็นเพราะเรื่องนั้นตัวเองเลยถูกยกย่องเชิดชูไป
“……เฮ้อ”
การวนไปที่นั่นที่นี่ด้วยตัวเองเพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแฟนคลับของตัวเองนั้นทำให้จิตใจอ่อนล้ากว่าที่คิด
ทีแรกคิดว่าแค่ไปหากรรมการที่ดูแลงานเลี้ยงคริสต์มาสก็จบแล้ว
แต่กลับถูกถามกลับมาในแต่ละที่ๆไปว่า “ไม่รู้หรอกเหรอ ?” ถ้าแค่นั้นก็ยังดี แต่การถูกพูดใส่ว่า “เรื่องงานประกวดเอาใจช่วยอยู่นะ”
“พยายามเข้านะ” ทำให้พูดไม่ออกด้วยว่ากำลังวิ่งวุ่นเดินเรื่องเพื่อให้การปฏิเสธเป็นไปอย่างราบรื่น
ผลลัพธ์
การพูดไม่ออกแล้วโค้งศีรษะให้นั้นยิ่งเป็นการเพิ่มความเข้าใจผิดขึ้นไปอีก
“ทำไมฉันถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้……”
ภาพของกลุ่ม MSF
ที่ไม่รู้จักหน้าค่าตานั้นได้ก่อร่างขึ้นในจิตใจของซาคุยะ
ต้องเป็นกลุ่มคนไร้มารยาทไม่เกรงใจใครที่ไม่ฟังคำพูดของคนอื่นแน่ๆ
เรื่องคราวนี้เองก็มีต้นเหตุมาจากการกลั่นแกล้งไม่ผิดแน่นอน
[หน้า 59]
น้อยครั้งมากที่ซาคุยะมีอคติต่อผู้อื่น
แต่ว่าความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่เช้าได้ทำให้ความคิดกลายเป็นด้านลบไป
“……ที่นี่เหรอคะ”
สถานที่ที่ถูกใช้เป็นที่รวมตัวแฟนคลับคือห้องโสตทัศนศึกษาของอาคารเรียนเก่า
แม้แต่ที่โรงเรียนคิโยมิยะซึ่งมีชมรม, ชุมนุมมากมาย
หลังเลิกเรียนก็ยังเป็นตึกที่ไม่ค่อยถูกใช้งาน
เรื่องที่ทำกิจกรรมกันในที่ๆมีวี่แววของผู้คนเบาบางแบบนั้นเองก็เป็นเหตุผลที่กระตุ้นความไม่ไว้วางใจของซาคุยะด้วยเช่นกัน
“ขออนุญาตค่ะ”
ถึงอย่างนั้นก็ส่งเสียงเรียกพร้อมกับเคาะประตู
ไม่ได้ก้าวพรวดพราดเข้าไป
ต่างไปจากอาคารเรียนใหม่หรือหอพักที่มีการทำความสะอาดทั่วถึง
ตึกเรียนที่เก่าแล้วให้บรรยากาศขนลุกออกมารางๆ
กลางทางระหว่างมาที่นี่เองก็มีหยากไย่เล็กๆติดอยู่ที่มุมหนึ่งของเพดานระเบียงทางเดิน และตรงหัวมุมก็มีก้อนฝุ่นกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่
เนื่องจากยังไงก็เป็นตึกที่ถูกใช้อยู่
เลยดูเหมือนจะมีการทำความสะอาดไว้ แต่ก็เป็นเพียงการทำความสะอาดที่คิดได้แค่ว่าเป็นการทำแบบขอไปทีตามความจำเป็นขั้นต่ำสุด
ตึกเรียนที่สกปรกเล็กน้อยไปทั่วยิ่งเพิ่มความแย่ของภาพลักษณ์ขึ้นไปอีก
[หน้า 60]
สมาชิก MSF ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนนั้น
ในใจของซาคุยะจินตนาการภาพที่เหมือนกับลูกน้องของเด็กอันธพาลที่ส่งเสียงเอะอะโดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะเกลียดซึ่งโผล่มาในอนิเมะที่ดูด้วยกันกับพี่ชายในสมัยเด็กอยู่
“เชิญค่ะ
กรุณาเข้ามาได้เลยค่ะ”
คงเป็นเพราะแบบนั้น
เลยรู้สึกผิดคาดกับเรื่องที่เสียงที่ได้ยินมาจากข้างในเป็นเสียงที่ชัดเจนและเป็นกันเอง
“…………เอ๊ะ”
พอเข้าไปข้างในทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในอาคารเรียนเก่าที่ดูเก่าและสกปรกเล็กน้อยไปทั่วนั้น
มีเพียงห้องนั้นที่เห็นว่าสะอาดกว่าที่อื่นมาก
กำแพงกับพื้นมีการทำความสะอาดทั่วถึงและขัดไว้
พรมน้ำมันที่มีแต่รอยเองก็ลงแว็กซ์ไว้อยู่
บนโต๊ะมีผ้าปูโต๊ะลูกไม้สีขาวปูไว้
และมีถ้วยชาที่เป็นเครื่องเคลือบสีขาววางไว้อยู่
พวกเด็กสาวที่ดูเหมือนจะเป็นสมาชิกนั้นมองผู้ที่มาเยือนอย่างกะทันหันแล้วแสดงสีหน้าตกตะลึงอยู่
จากปฏิกิริยาที่ดูซื่อๆนั้น
พวกเธอไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความขี้แกล้งแบบที่ซาคุยะคิดไว้เลยแม้แต่น้อย
แถมยังดูใสซื่อกว่าพวกเพื่อนๆที่เคยสนุกกับความลำบากใจของซาคุยะซะด้วยซ้ำ
“เอ่อ……ฉันชื่อมินางามิ
ซาคุยะ อยู่ปีสามค่ะ ทางนี้คือชุมนุม MSF ไม่ผิดแน่ใช่ไหมคะ……?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น