คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจากหนังสือ Official Visual Fanbook
黄昏のシンセミア ~夏の想い出~
Tasogare no Sinsemilla ~Natsu no Omoide~
ซินเซมิลล่าแห่งยามสนธยา ~ความทรงจำในฤดูร้อน~
กรุงโตเกียว
เขตใกล้ใจกลางเมือง
มีบ้านหลังนั้นตั้งอยู่
สภาพภายนอกเป็นสีเทาจากการโบกด้วยคอนกรีต
เป็นสิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยมทื่อๆไร้รสนิยม
แต่ก็กลมกลืนไปกับทิวทัศน์รอบข้าง
ในเขตที่อยู่อาศัยซึ่งผ่านการพัฒนาพื้นที่มาแล้ว
สิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมมาหลายครั้งหลังนั้นมีป้ายเขียนว่า “มินางามิ” ติดไว้
อาคารที่อยู่อาศัยสองชั้นหลังนั้นดูราวกับไม่มีคน
ห้องนั่งเล่นไร้วี่แววของมนุษย์
น้ำที่ไหลลงไปในอ่างล้างจานก็แห้งไปนานแล้ว
ชั้นบนมีห้องของผู้อาศัยอยู่ที่นี่
แต่ทั้งหมดซึ่งรวมห้องว่างสำหรับแขกเข้าไปด้วยแล้วนั้นไม่มีคนอยู่
ในบรรดานั้นมีห้องหนึ่งเครื่องเรือนถูกเก็บออกไป
เป็นห้องว่างก็จริง แต่พวกตู้หนังสือหรือโต๊ะยังคงปล่อยไว้ทั้งอย่างนั้น
เป็นร่องรอยว่ามีผู้หญิงเคยอาศัยอยู่ แล้วอีกห้องหนึ่งก็เป็นห้องที่มีพวกคอมพิวเตอร์กับเครื่องเกมอยู่
ห้องทางนี้แม้เจ้าของห้องจะไม่อยู่ แต่ก็มีกลิ่นอายการใช้ชีวิตหลงเหลือ
ในบ้านหลังนั้น
มีเสียงเล็กๆดังขึ้นตรงสุดระเบียงทางเดินชั้นล่าง
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดแกรกๆดังมาจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
ในห้องที่สว่าง
ชายวัยทำงานกำลังนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะ
สายตาอันเฉียบคมซึ่งมองผ่านแว่นตานั้นจดจ้องเข้าไปในจอมอนิเตอร์
ข้างข้อความที่ตัวหนังสือเรียงรายกันนั้นมีภาพถ่ายทิวทัศน์ที่ย่อส่วนลงแล้วแสดงอยู่
เป็นพวกภาพป่าหรือแม่น้ำ
แล้วก็ภาพโรงแรมน้ำพุร้อนที่สร้างจากไม้
ในโฟลเดอร์มีรายงานการเก็บข้อมูลอยู่
การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาเรียบเรียงใหม่เป็นประโยคให้ผู้อ่านได้อ่านคืองานของเขา
“…………”
มือหยุดลง
นำมือไปวางบริเวณตาด้วยท่าทางเหมือนกับเหนื่อยล้า
แล้วถอนหายใจออกมายาวๆเฮือกหนึ่ง
หลังนำมือออกไปก็ไม่มีแววตาที่มีเครียดแฝงอยู่แล้ว
ใบหน้าที่คลายสมาธิออกไปนั้นมีความอ่อนโยนและความสงบอยู่
สายตากลับไปที่จอมอนิเตอร์อีกครั้ง
ในจอมีภาพทะเลสาบขนาดใหญ่ปรากฏอยู่
สีของทะเลสาบคือสีฟ้าเข้ม
เป็นภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกกันว่าบ่อน้ำสีฟ้า
“……อืม”
นึกถึงบ้านที่เคยอาศัยอยู่เป็นเวลานาน
ภาพที่ผุดขึ้นมาคือหมู่บ้านมินาคามิ
ภาพถ่ายบนจอไม่ใช่ภาพของผืนดินที่ว่ากันว่ามีนางฟ้าลงมาก็จริง
ถึงอย่างนั้นทะเลสาบสีฟ้าก็กระตุ้นความทรงจำช่วงที่เคยอยู่ที่นั่น
และตอนนี้
ลูกทั้งสองคนของเขาก็น่าจะไปที่นั่นอยู่แน่ๆ
“ให้ตายสิ……เจ้าโคสุเกะนี่มัน……”
แล้วก็ถอนหายใจ
หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างๆขึ้นมา
เปิดเมล์ที่ส่งมาถึงเมื่อครู่
ในนั้นมีคำทักท้ายสั้นๆ,
เรื่องที่เผชิญกับคดีที่หมู่บ้านมินาคามิ แล้วก็เรื่องของมินางามิ ซาคุยะ
ลูกสาวของเขาเขียนไว้อยู่
“………………ไปคล้ายใครกันนะ”
เรื่องแบบนั้นตัวเขาเองนั่นล่ะที่รู้ดีที่สุดแล้ว
ไม่รู้จะเขียนตอบกลับไปยังไงดี
เลยผลัดไว้หลังทำงานเสร็จ------แต่งานก็เสร็จลงไปจนได้
เขาเลื่อนตัวชิดเข้าไปในเก้าอี้
แล้วถอดแว่นตาออก
อาจเป็นเพราะจ้องจอภาพเป็นเวลานาน
พอมือไปสัมผัสโดนก็เริ่มรู้สึกร้อนบริเวณรอบตา
แล้วภายในความมืดซึ่งแสงสว่างถูกปิดกั้นสองชั้นด้วยเปลือกตากับฝ่ามือ
ก็ได้ยินเสียงสดใสที่ชวนคิดถึงดังขึ้นข้างหู
“ซาคุยะเนี่ย
ชอบโคสุเกะจริงๆเนอะ”
นั่นเป็นความทรงจำในอดีตเมื่อนานมาแล้ว
ในความทรงจำ
ตัวเขายังหนุ่ม แล้วข้างๆนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่
เบื้องหน้าของทั้งสองมีเด็กสองคน
เด็กหญิงพยายามสุดความสามารถเพื่อไล่ตามพี่ชายที่ล่วงหน้าไปก่อน
แต่เพราะตามขาของผู้ที่โตกว่าไม่ทัน เลยวิ่งไปทั้งใบหน้าที่จวนเจียนจะร้องไห้
ทางพี่ชายรู้ตัวว่าทิ้งระยะห่าง
เลยหยุดรอให้น้องสาวมา
ใบหน้าที่เกือบจะร้องไห้ของเด็กหญิงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
แล้วขยับขาเล็กๆวิ่งไปหาพี่ชาย
เธอที่อยู่ข้างกายเขามองภาพที่ชวนยิ้มนั่น
พร้อมแกว่งผมหางม้า ราวกับทนความขบขันไม่ได้ ราวกับค้นพบสิ่งน่าสนุก
“……สนิทกันมันก็ดีอยู่หรอก ……แต่ทั้งคู่เป็นพี่น้องกันนะ”
“เรื่องแบบนั้น
เจ้าตัวรู้ดีที่สุดแล้วน่า แล้วก็นะ ถ้าครอบครัวสนิทกันได้ตลอดเนี่ยไม่คิดว่าน่ายินดีหรอกเหรอ
?”
“เรื่องนั้น
ก็คิดอยู่หรอก”
ถ้าถูกยกครอบครัวมาอ้างก็ตอบได้แค่นั้น
พอเห็นเขาที่เป็นเช่นนั้น
เธอก็ยิ้มด้วยท่าทางขบขัน
มินางามิ ซายะ
ชื่อจริงคือมินางามิ
ซาคุยะ
ปัจจุบันมีตัวตนอยู่แค่ในอีกฟากของความทรงจำอันไกลโพ้น
เธอชอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้วขยับตัวง่าย
มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือผมยาวที่รวบเป็นเส้นเดียว
ในยามที่มินางามิ
เซย์จินึกถึงเธอ จะมีสีหน้าหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเสมอ
เป็นผู้หญิงที่ยิ้มบ่อยและสดใสราวกับดอกทานตะวัน
※
ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้า
มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่
“……เฮ่อ”
เช็ดเหงื่อที่ไหลย้อย
ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือโชกไปด้วยเหงื่อ
กลายเป็นของที่ไม่มีความหมายไปเรียบร้อย
“ไม่ควรเดินมาเลยจริงๆ……”
ฟ้าโปร่งไร้เมฆ
ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าแสดงถึงความเป็นหน้าร้อน
พอระบายความร้อนออกมาพร้อมๆกับการถอนหายใจ
ตัวเขา---------ฟูจิซาวะ เซย์จิก็ก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านมินาคามิ
------ตำนานนางฟ้า
เขาที่เป็นนักเขียนมือใหม่ได้ยินเรื่องนั้นมาจากกองบรรณาธิการที่รับงานมา
งานในคราวนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมนิทานปรัมปราของญี่ปุ่น
โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่หนุ่มสาววัย 10 ถึง 20 ปี
ตอนนี้พวกเรื่องราวเหนือธรรมชาติกำลังเป็นกระแสในโลกนิดหน่อย
แม้แต่วันที่ในมหาคำทำนายที่ทำให้ทั่วโลกแตกตื่นก็ยังถูกตีความเป็นตัวเลขที่ดูสมกับความเป็นจริง
ดูเหมือนที่หมู่บ้านมินาคามิจะมีตำนานนางฟ้า
ในท้องถิ่นมีพิธีกรรมบวงสรวงนางฟ้าอยู่
แล้วเหมือนจะมีนิทานปรัมปราเรื่องสัตว์ประหลาดอยู่คู่กันด้วย
งานที่เซย์จิรับผิดชอบดูแลไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าบทหนึ่งของหนังสือสไตล์คล้ายนิตยสารที่รวมเรื่องราวสิบกว่าเรื่องไว้
เป็นงานเล็กๆแค่ไม่ถึง
20 หน้าด้วยซ้ำ ทว่า
ตอนนี้แม้จะเริ่มเห็นจุดสิ้นสุดแล้วแต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็เฟื่องฟูอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อาจเป็นเพราะเรื่องนั้นกับกระแสความฮิต กองบรรณาธิการเลยใจป้ำจ่ายเงินสำหรับไปเก็บข้อมูลให้ขนาดที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวย่อมๆได้เลย
------แล้วก็
ตอนนี้ที่เพิ่งเริ่มทำงานนั้นพึงพอใจกับงานเล็กๆอยู่ก็จริง
แต่ในอนาคตมีความปรารถนาที่จะถักทอเรื่องราวด้วยมือของตัวเอง
ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าประสบการณ์แบบไหนจะเป็นประโยชน์บ้าง
ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจเพื่อนร่วมงานที่เห็นว่ายุ่งยากเลยทำให้เสร็จๆไปด้วยการเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์หรือถมหน้ากระดาษให้เต็มด้วยการอ่านเอกสารผ่านๆ
แล้วเดินทางมาถึงชนบทในภูมิภาคคินกิ
“ว่าไง
พี่ชายเป็นคนนอกเหรอ ?”
มีเสียงดังขึ้นราวกับแล่นเข้ามาในหัว
ถูกทักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“อะ……เอ่อ อื้ม ก็นะ”
“งั้นเหรอ
มาดูงานเทศกาลรึเปล่านะ ?”
ดูจากวิธีพูดแล้วคงจะเป็นคนในหมู่บ้าน
เนื้อหาที่ทักมาก็ธรรมดามากๆ
ทว่า
ที่ลังเลเล็กน้อยที่จะตอบไปก็เพราะรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่ปรากฏแก่สายตาเบื้องหน้า
ผมสีเงินเป็นประกายกับแสงตะวัน
ผิวขาวปราศจากความหมองคล้ำ
แล้วก็นัยน์ตาสีแดงที่งดงามราวกับทับทิม
------ไม่ใช่คนญี่ปุ่น
?
แต่โครงร่างหรือหน้าตาก็เป็นแบบหญิงสาวชาวญี่ปุ่น
แถมยังเรียงกันสวยได้รูปจนน่าตกใจ
“มีอะไรเหรอ ?”
อาจเป็นเพราะท่าทางแข็งทื่อของเขาดูตลก
หญิงสาวเลยมองเข้ามาที่หน้าของเซย์จิ
“ผม……”
ล้วงนามบัตรออกมายื่นให้เธอ
แล้วบอกเรื่องที่มาที่หมู่บ้านนี้เพื่อเก็บข้อมูลตำนานนางฟ้า
กับเรื่องที่อยากฟังพวกนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อกันมาในหมู่บ้าน
อธิบายเรื่องเหล่านั้นให้เธอฟังด้วยท่าทางประหม่า
“เห~~ แบบนี้นี่เอง เข้าใจละ~”
“เพราะแบบนั้น
ถ้ารู้จักใครที่รู้ละเอียดล่ะก็อยากให้ช่วยบอกทีน่ะครับ……”
“อืม~~นั่นสิน้า~ มีที่เหมาะๆอยู่พอดีเลยล่ะ
ลองไปที่นั่นดูน่าจะดีรึเปล่านะ”
“ที่เหมาะๆ ?”
“อื้ม นั่นไง”
เธอหันกลับไปชี้ประตูโทริอิที่อยู่ข้างหน้า
พอเข้าไปมองใกล้ๆก็พบว่าตรงนั้นมีเขียนไว้ว่าศาลเจ้าคาสุกะ
“คุณนักบวชของที่นี่กำลังสืบค้นเรื่องหมู่บ้านอยู่น่ะ
คิดว่าน่าจะได้ฟังอะไรดีๆเยอะเลยล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
พอโค้งให้เธอเช่นนั้น
เธอก็โบกมือให้แล้วแยกตัวไป
“งั้นไปล่ะนะ
------อ๊ะ เรื่องที่เจอฉัน ปิดเป็นความลับกับทุกคนนะ”
เธอเปล่งรอยยิ้มสดใส แล้วเดินไปทางภูเขา
“…………”
เมื่อเธอลับสายตาไป
เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“……อะไรกันล่ะนั่น”
อย่างกับถูกจิ้งจอกหลอกเลย
ถ้าไม่นับรูปลักษณ์ที่ต่างกันเล็กน้อยแล้ว
ก็น่าจะเป็นหญิงสาวธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปแน่ๆ
อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซย์จิ
อาชีพไม่ทราบแน่ชัด
แต่เรื่องอาชีพ
วันนี้อาจจะแค่หยุดเฉยๆก็ได้
ส่ายศีรษะพลางคิดว่าช่างเถอะ
แค่คุยสัพเพเหระกันเฉยๆ
ไม่คิดจะเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังเป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย ที่นี่ก็แค่มาทำงาน
คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วด้วย
แล้วในขณะที่เดินขึ้นบันไดหินยาวๆ
ความรู้สึกที่มีต่อเธอก็ได้จางหายไปอย่างน่าตกใจ
ขนาดที่นึกเรื่องของเธอไม่ออกอีกเลย
ในศาลเจ้าซึ่งมีพื้นที่กว้าง
มีผู้หญิงใส่ชุดมิโกะกำลังถือไม้กวาดปัดกวาดทำความสะอาดอยู่
ยื่นนามบัตรให้เธอ แล้วขอให้ไปติดต่อนักบวชให้
เป็นเพราะมีชาวบ้านที่นิสัยเข้าหาง่ายเยอะหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
เลยได้รับการยินยอมง่ายกว่าที่คาด ได้รับการพาไปยังบ้านที่อยู่ด้านหลัง
ใช้ชีวิตเช่นนั้นมาได้ราวๆ
2 วัน
ค้างคืนในที่พักหน้าสถานี
ตอนกลางวันก็ฟังเรื่องราวที่ศาลเจ้าบ้าง สืบค้นพวกที่มาของทะเลสาบบ้าง
หากพบจุดที่สะดุดตาก็จะถ่ายรูปเก็บไว้
ในไม่ช้าก็ฟิล์มเองก็ใช้ไปถึงม้วนที่ 3
แล้วในยามเย็นของวันที่สอง
ทันทีที่เก็บข้อมูลที่ศาลเจ้าเสร็จและเริ่มคิดเรื่องกลับโตเกียวนั้นเองก็มีชื่อนั้นถูกหยิบยกเข้ามาในการสนทนา
“ตระกูลมินางามิ
?”
ที่อยู่ตรงหน้าคือนักบวชของศาลเจ้าที่บวงสรวงนางฟ้า
กับมิโกะผู้มีหน้าที่รำคางุระ
แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแค่หนังสือเกรด B แนวสิ่งลี้ลับ
คิดได้ว่าถ้าเรื่องเก็บข้อมูลล่ะก็แค่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว
แต่ก็เกิดสนใจในชื่อตระกูลที่จงใจหยิบยกขึ้นมาพูด
อุตส่าห์มาถึงหมู่บ้านมินาคามิแล้ว
แถมเดิมตั้งใจจะอยู่หลายวันด้วย
จึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ยังไงก็อยากจะไปเก็บข้อมูลทางนั้นด้วยครับ……แต่จะเป็นไรหรือเปล่าครับ”
“เข้าใจแล้ว
กรุณารอสักครู่นะครับ”
นักบวชผู้ดูเป็นนักวิชาการโค้งให้อย่างสุภาพ
ก่อนจะลุกจากที่นั่งโดยบอกว่าจะไปโทรศัพท์สักครู่
ตัดสินใจลองถามเรื่องตระกูลมินางามิกับมิโกะที่รินชาเติมให้
“นั่นสินะคะ……พูดได้แค่ว่าเป็นครอบครัวที่มีประวัติยาวนาน”
“เป็นไอแบบที่เรียกกันว่าตระกูลเก่าแก่สินะครับ……ท่าทางดูเป็นพิธีรีตองยังไงไม่รู้ จะเป็นไรรึเปล่านะ”
“วางใจได้
เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
ตอบกลับมาทันควัน
พอสงสัยเรื่องนั้น
เธอก็พูดเสริม
“ก็คุณซาคุยะเป็นคนร่าเริงมากและเป็นคนดีนี่คะ”
“ซาคุยะ……?”
“ผู้หญิงที่ชื่อมินางามิ
ซาคุยะค่ะ เป็นคนดีมากเลยล่ะค่ะ”
“เฮ่อ……เข้าใจแล้วครับ”
เหมือนจะเสียแม่ไปก่อนวัยอันควร
เลยอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คนกับพ่อและน้องสาวที่อายุห่างกัน
“แต่ทำไมถึงได้พูดเรื่องคุณมินางามิ……เอ่อ ไม่ใช่ทางคุณพ่อ แต่เป็นคุณซาคุยะ ?”
“เอ๊ะ ? ก็……”
มิโกะเอียงศีรษะด้วยความฉงน
“ก็เพราะคุณซาคุยะเป็นคนพิเศษขนาดนั้นเลยยังไงล่ะครับ”
นักบวชกลับมา
“พิเศษ ?”
“เป็นครอบครัวที่มีธรรมเนียมแปลกนิดหน่อยน่ะครับ”
นักบวชกล่าวเช่นนั้นออกมา
พร้อมแจ้งว่านัดหมายได้เรียบร้อยแล้ว
เดินไปในหมู่บ้านที่ย้อมด้วยสีอัสดงพร้อมแผนที่เขียนด้วยมือ
เป็นทางที่เคยผ่านมาบ้างแล้ว
ข้างหน้ามีย่านร้านค้าเล็กๆ
ที่ร้านขายของชำชื่อ “ร้านขายของทาคามิ” มีคุณยายที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยชรากับผู้หญิงที่เหมือนจะเป็นลูกสาวอยู่
ด้วยความคิดถึงวัยเด็กเลยเผลอซื้อของอย่างขนมราคาถูกไปจนได้
ย่านร้านค้าเล็กๆนั้นคึกคักพอประมาณ
พอมองเข้าไปในร้านตามเสียงเรียกของร้านขายผัก ก็มีแตงโมที่หั่นเป็นชิ้นแล้วยื่นมาให้
เซย์จิคิดว่าช่างเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนที่อบอุ่นอาศัยอยู่จริงๆ
ปกติที่ทำงานจะมีบรรยากาศตึงเครียด
มีเสียงพูดคุยกันเรื่องต้นฉบับกับเสียงด่าทอแล่นผ่านหูไปมา
อาจเป็นเพราะความเครียดนั้นด้วยหรือเปล่านะ
เลยคิดเล็กน้อยว่าการลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้มันเป็นอะไรแบบไหนกันนะ
บ้านมินางามิที่ดั้นด้นมาถึงนั้นกลับเป็นบ้านธรรมดาต่างจากที่จินตนาการไว้ลิบลับ
พื้นที่กว้าง
มีโกดังสร้างไว้ด้วยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าใหญ่จนบ้านหลังอื่นเทียบไม่ติด
พอคิดจากสภาพท้องที่แล้วก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
ตรงทางเข้าตัวบ้านมีเด็กผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลอมเหลืองอยู่
เธอสวมชุดนักเรียนไว้บนร่างกายเล็กๆนั่น
และกำลังมองมาทางนี้
“สวัสดี……”
เธอใช่ “ซาคุยะ” รึเปล่านะ
พอเขาโค้งศีรษะให้เล็กน้อย
เด็กหญิงก็ไปทางเฉลียง แล้วตะโกนเข้าไปในบ้าน
“คุณพ่อค้า~ !
แขกมาแล้ว~”
ไม่รู้ว่าใช่เจ้าตัวรึเปล่า
แต่ดูเหมือนจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ผิดแน่
เมื่อได้ยินเสียงลูกสาว
ชายที่มีผมหงอกประปรายก็ออกมาจากในบ้าน
“เชิญ เข้ามาได้เลย”
เป็นเสียงทุ้มหนักที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความเข้มงวด
------------ชักอยากกลับแล้วสิ
หลังได้รับการเชิญเข้ามาในห้องนั่งเล่นไม่กี่นาที
เซย์จิก็ส่งเสียงโอดครวญออกมาเป็นที่เรียบร้อย
ชายซึ่งกำลังลูบผมที่หงอกประปรายอยู่นั้น
สีหน้าเองก็เข้มงวดด้วย ปล่อยบรรยากาศหนักอึ้งแผ่ซ่านออกมาอยู่
ไม่ใช่ว่ากำลังถูกทำไม่ดีใส่
แต่เพราะพูดน้อย คำพูดของทางนี้เลยค่อยๆน้อยลงไปเรื่อยๆตามบรรยากาศที่เหมือนกับจะไม่ยอมให้อภัยหากเผลอหลุดปากอะไรไม่ดีออกมา
แล้วน่าจะเป็นการมาเก็บข้อมูลแท้ๆ
แต่กลับกลายเป็นว่าเซย์จิได้แต่ตอบคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ซัตสึกิ”
พอชายผู้มีผมหงอกประปรายเรียกชื่อด้วยเสียงที่เบาแต่ฟังชัด
เด็กผู้หญิงเมื่อครู่ก็เข้ามา
“ไปเรียกซาคุยะมา”
“ถ้าพี่สาวล่ะก็มาอยู่ตรงนั้นแล้วนะ
?”
แล้วเธอก็ชี้ไปทางห้องที่ไม่ได้ปูพื้น
เป็นดินอยู่ทั้งอย่างนั้น
“---------------อะ”
สายตาถูกรูปลักษณ์นั้นสะกดไว้
ผมดำยาวเป็นประกายเหยียดตรงทับลงบนเสื้อผ้าอาภรณ์ราวกับเส้นไหมสีดำ
ที่ห่อหุ้มกายอยู่คือกิโมโนสีดำขลับ
บนเนื้อผ้าสีดำมีสีสันสดใสโลดแล่น
ลวดลายซึ่งปักด้วยด้ายสีทองให้ความรู้สึกสดใสกลบสีโทนทึบ
เป็นกิโมโนหรูหราขนาดที่แม้แต่มือสมัครเล่นยังดูออก
แล้วผู้ที่สวมมันอยู่เองก็ให้ความงามไม่ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าอาภรณ์
“………………เฮ่อ”
ทว่า ผู้เป็นพ่อกลับเพียงชำเลืองมองร่างของลูกสาวที่ตราตรึงสายตาของเซย์จิไว้
แล้วถอนหายใจ
“ชุดของแม่
เอาไปเก็บให้เหมือนเดิมด้วยล่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เธอเอียงศีรษะแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย
เพียงเท่านั้นความรู้สึกที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
บรรยากาศหนักอึ้งซึ่งถูกแต่งแต้มเป็นสีดำได้สงบลง
ความอ่อนโยนอันงดงามเผยออกมาให้เห็นบนใบหน้า
แม้จะไม่เคยได้ยินชื่อ
แต่ก็รู้อยู่แล้ว
เธอคือมินางามิ
ซาคุยะ
คือคนพิเศษที่ได้ยินที่ศาลเจ้า
ซาคุยะนั่งลงบนที่นั่ง
ข้างๆนั้นมีเด็กผู้หญิงที่เมื่อครู่ถูกเรียกว่าซัตสึกินั่งลงไป
ภาพของเธอซึ่งหลับตาและนั่งทับส้นเท้าหลังเหยียดตรงนั้นช่างงดงาม
ทว่า ใบหน้าที่รอยยิ้มจางหายไปนั้นไม่ได้มีความอบอุ่นเหมือนเมื่อครู่
แต่แฝงไว้ด้วยความคมกริบที่หากสัมผัสโดนก็จะบาดมือเอาได้
นั่นเป็นบรรยากาศแบบเดียวกับที่ชายผู้อยู่ตรงหน้ามี
ทำให้ตระหนักได้จริงๆว่าทั้งคู่เป็นพ่อลูกกันแน่นอน
หลังยื่นนามบัตรให้และแนะนำตัว
ก็เป็นแบบนี้มาตลอด
เซย์จิแอบถอนหายใจในใจเล็กน้อย
แบบนี้ก็แค่แรงกดดันจากด้านหน้ากลายเป็นสองเท่าแค่นั้น
รอยยิ้มเมื่อครู่เป็นสิ่งที่มอบให้กับครอบครัว
ไม่ใช่ตนงั้นเหรอ
โฉมหน้าสำหรับคนนอกคือทางนี้
ซึ่งไม่มีบรรยากาศเป็นมิตรอยู่
“…………?”
น่าจะเป็นเช่นนั้นแน่ๆ
แต่------
เธอยกนิ้วที่ขาวและเรียวยาวขึ้น
นำมันไปเลียบบนใบหน้าซึ่งหลับตาอยู่และไร้อารมณ์ราวกับน้ำแข็ง
“อุ๊บ !”
ในวินาทีต่อมา
เซย์จิก็ต้องหัวเราะ
เพราะฝืนหุบปากเพื่อกลั้นหัวเราะ
เลยเกิดเป็นเสียงแปลกๆดังออกไปรอบข้าง
นิ้วที่ซาคุยะนำมาเลียบจมูกนั้นกดลงไปทั้งอย่างนั้น
จนจมูกกลายเป็นรูปร่างคล้ายจมูกหมูทั้งที่ยังมีสีหน้าเย็นชาอยู่
ทั้งสองคนไม่รวมซาคุยะ
มองเซย์จิที่จู่ๆหายใจค่อกแค่กด้วยความสงสัย
เซย์จิไม่ได้ปล่อยให้ภาพซาคุยะที่ยิ้มเล็กน้อยกับความสำเร็จอยู่ข้างหลังหลุดรอดสายตาไป
“……มีอะไรเรอะ
?”
“มะ ไม่มีอะไรครับ……แค่ก ขอ โทษ แค่สำลัก
นิดหน่อย……แค่ก
ค่อก”
“งั้นเหรอ……?”
“ขออภัยอย่างยิ่งที่เสียมารยาทครับ……”
ในขณะที่กล่าวเช่นนั้นก็ยื่นมือไปยังถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะ
จิบชาหนึ่งอึกให้ลมหายใจสงบ
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ
?”
“อะ อื้ม
โทษทีนะ ที่ทำให้เป็นห่ว------”
เมื่อมองไปทางเด็กผู้หญิงชื่อซัตสึกิก็พบว่าข้างหลังนั้นมีของประหลาดอยู่
เป็นหน้ากากที่มีขายในงานเทศกาล
สงสัยว่าทำไมของแบบนั้นถึงมาอยู่ในที่แบบนี้
แต่ถ้าเป็นของจากงานเทศกาลล่ะก็บางทีคงจะมีวางไว้เฉยๆบ้าง
ซัตสึกิไม่เห็นงั้นเหรอ
เลยไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจกับมันด้วย ส่วนซาคุยะที่อยู่ข้างๆก็ทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่
ในที่สุดอาการหัวเราะก็สงบลง
สูดหายใจเข้า
แล้วเอ่ยปากขึ้นในบรรยากาศที่ความตรึงเครียดคลายลงไปบ้างแล้ว
“เรื่องเหตุผลที่ผมมาที่นี่น่ะครับ------”
ตรงหางตาเห็นอะไรบางอย่างกำลังขยับ
ซาคุยะเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่าง
เป็นหน้ากากที่เห็นเมื่อครู่
หน้ากากตัวการ์ตูนที่ใช้อุปกรณ์วิเศษหลายอย่างและได้รับความนิยมจากทั่วประเทศ
แต่เพราะแบบนั้นล่ะถึงเดาออกว่าจะมีอะไรมา
คราวนี้นี่ล่ะ จะทนหัวเราะแล้วเอาชนะให้ดู
ตัดสินใจแน่วแน่เล็กน้อยภายในใจเช่นนั้น
เธอนำมือไปแตะที่หน้าของตัวเองด้วยท่าทางตามที่เซย์จิคาด
แล้วเอ่ยพึมพำขึ้นมาหนึ่งคำ
“ผม โนบิตะคุง”
“อุ๊บ ฮ่า !!”
โดนเล่นงานแบบไม่คาดคิด
เลยสำลักอีกครั้งทั้งที่มุกตลกยังไม่จบ
“คุณฟูจิซาวะ
เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?”
แล้วเจ้าตัวที่เป็นคนทำให้หัวเราะก็ถามมาทันทีหน้าตาเฉย
“มะ ไม่……เป็นไร……”
ซะที่ไหนเล่า
ตอนนี้ภาพลักษณ์ที่มีแต่แรกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
ถ้าลองคิดดูดีๆก็พอจะมีของที่คล้ายลางบอกเหตุอยู่บ้าง
ทั้งที่เป็นเสื้อผ้าที่เข้ากันขนาดนั้น
แต่โทนเสียงที่มีต่อลูกสาวซึ่งสวมสิ่งนั้นกลับมีความเอือมระอาปนอยู่ราวกับจะบอกว่าอีกแล้วเรอะ
แล้วสีหน้าที่คิดว่าเย็นชาราวกับน้ำแข็งนั่นคงเป็นเพราะกำลังกลั้นหัวเราะเพื่อรอเวลาที่ใกล้จะมาถึง
เป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ
พิลึกเอามากๆ
แล้วก็น่าเจ็บใจที่ได้แต่โดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว
“แล้วที่ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพื่อ------”
แอบมองซาคุยะด้วยหางตา
ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับใส่หน้ากากละครโนอยู่
------แหย่คนนอกเล่นเนี่ยมันสนุกนักเหรอไง
?
แม้จะคิดว่าช่วยคลายความตึงเครียดลงไปได้
แต่ก็มีความรู้สึกที่คิดเช่นนั้นอยู่เล็กน้อย
เพราะแบบนั้น
ต่อไปเป็นตาทางนี้บ้างล่ะ
โชคดีที่บรรยากาศหนักอึ้งในห้องนั่งเล่นเบาบางลงแล้ว
ถ้าแค่โต้กลับซาคุยะเบาๆล่ะก็คงไม่เป็นไร
ที่คิดเช่นนั้นเองก็เป็นเพราะความรู้สึกหลงใหลเธอในแวบแรกที่เห็น
เธออาจจะพยายามช่วยคลายความตึงเครียดให้ก็เป็นได้
แต่ก็เหมือนถูกล้อเล่นกับความรู้สึกดีๆเล็กน้อยที่ผุดขึ้นมาในใจตั้งแต่ก่อนจะได้พูดคุยกัน
ด้วยเหตุนั้นเลยอาจจะเกิดความดื้อดึงขึ้นมานิดหน่อย
“กรุณายกลูกสาวให้ผมเถอะครับ”
คำพูดนั้นออกมาจากปากง่ายดายกว่าที่จินตนาการไว้
ราวกับนั่นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
หรือไม่ก็ราวกับมาที่นี่เพื่อพูดคำๆนั้นจริงๆ
ก่อนที่คำพูดนั้นจะถูกปล่อยให้ผ่านเลยไป------
ก็มีเสียงที่ไพเราะราวกับสั่นกระดิ่งดังขึ้น
“ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ”
ใช้เวลานานกว่าจะรับรู้ได้ว่านั่นคือเสียงคน
……แล้วกว่าจะเข้าใจความหมายในคำพูดของทั้งสองฝ่ายได้กระจ่างชัดก็ต้องใช้เวลามากขึ้นไปอีก
※
“…………เฮ่อ”
นำมือออกมาจากบริเวณตา
ดูเหมือนจะหลับไปเล็กน้อย
ความรู้สึกร้อนบริเวณรอบตาหายไปแล้ว
ความเหน็ดเหนื่อยจากงานเองก็คลายลงไปบ้าง
“…………ให้ตายสิ
เทียบเธอไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ”
ขณะที่อ่านเมล์ที่ส่งมาจากลูกชาย
ก็พูดกับภรรยาที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว
เป็นชีวิตการแต่งงานที่สั้นน้อยนิด
แค่ราวๆ 10 ปี
พอมาถึงตอนนี้ ชื่อ “ซาคุยะ” จะนึกถึงทางลูกสาวซะมากกว่า
แล้วชื่อ “ซายะ” ของภรรยาที่มอบนาม “ซาคุยะ”
ให้ลูกสาวไปแล้วนั้นเคยเรียกแทบจะนับครั้งได้
เริ่มเรียกว่าแม่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
แล้วในที่สุดก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“……ช่วงเวลาที่เคยเรียกด้วยชื่อสั้นกว่าแฮะ”
ที่ข้างหูได้ยินเสียงในตอนนั้นอีกครั้ง
“ซาคุยะเนี่ย
ชอบโคสุเกะจริงๆเนอะ”
ใส่เสื้อผ้าที่ขยับตัวง่าย
รวบผมดำยาวไว้ด้วยกันเป็นเส้นเดียว
โฉมหน้าตอนพบกันครั้งแรกเป็นการจัดฉากแกล้งให้แขกตกใจอย่างหนึ่ง
เธอที่หัวเราะบ่อยและอยู่ไม่สุขนั้นชอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้วขยับตัวง่ายเป็นที่สุด
“แต่ซาคุยะหัวรั้น
ถ้าอนาคตเกิดทั้งคู่ชอบกันขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงเหรอ ?”
“ถึงจะถามว่าทำยังไงก็เถอะ……ตอบยากแฮะ เรื่องนั้นน่ะ”
“นั่นสินะ
ตอบยากจริงๆนั่นล่ะนะ”
“แต่ว่า……นั่นสินะ อืม
คิดว่าก่อนอื่นจะโกรธ แล้วค่อยคุยกัน”
“แบบก่อนหน้านี้เหรอ”
“อืม
แบบก่อนหน้านี้”
ชีวิตที่ผ่านมานี้ไม่เคยต่อยคนมาก่อน
แต่ตั้งแต่ลูกเกิดมา
นั่นก็กลายเป็นหน้าที่ของเซย์จิ
เด็กที่ทำไม่ดีนั้นต้องดุให้เรียบร้อย
แม้จะต้องลงไม้ลงมือก็ตาม
เพราะเด็กที่ไม่เคยโดนเช่นนั้นจะไม่เข้าใจความเจ็บปวด
แม้มือที่ต่อยจะสั่นระรัว
แม้เสียงจะขึ้นสูงด้วยความโกรธ แต่ก็คิดว่าสั่งสอนเรื่องการคิดกับการตัดสินใจเรื่องต่างๆมาโดยตลอดเพื่อไม่ให้พวกเด็กๆเดินทางผิด
แล้วการปลอบโยนลูกๆที่ร้องไห้ก็คือหน้าที่ของแม่
กับเธอที่ถามว่า “กลับกันไม่เหมาะกว่าเหรอ ?” เองก็เคยไม่ยอมให้
เพราะคิดว่าถ้าโกรธลูกไม่ได้ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพ่อ
หลังเธอตายไปเองก็คิดว่าเลี้ยงลูกมาตามที่ตกลงไว้ด้วยกันสองคน
เรื่องคิดให้ดี
แล้วก็เรื่องการตัดสินใจ
ผลลัพธ์ที่ลูกทั้งสองเลือกนั้นถูกต้องหรือไม่------เรื่องนั้นแม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้
เพราะแบบนั้นตนจะทำหน้าที่ในฐานะพ่อ
ทั้งคู่จะกลับมาบ้านตอนปลายเดือนสิงหาคม
มีเรื่องต้องคุยกันมากมาย
เรื่องคดีที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านมินาคามิ เรื่องของตระกูลมินางามิที่เขียนลงในเมล์ไม่หมด แล้วก็เรื่องการตายของซายะ
ปีที่แล้วกับปีนี้
เกิดอะไรขึ้นในฤดูร้อนทั้งสองกันแน่
ตนคงจะได้รู้ความจริงที่ยังไม่รู้มากมาย
เพราะนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ลูกๆประสบมากับตัว
ในขณะที่คิดเรื่องที่จะพูดเวลานั้น------ก็ส่งข้อความตอบกลับสั้นๆไปหาลูกชาย
[แม่เป็นคนสวยมากเลยล่ะ]
อยากให้นึกให้ออกว่าเธอที่เหลืออยู่ในความทรงจำของทั้งสองไม่ใช่ภาพตอนตาย
อยากให้นึกถึงชีวิตประจำวันธรรมดาๆที่เธอยิ้มบ่อยและปรารถนาความสุขของทั้งคู่มาตลอด
ยังไงก็ขอให้อนาคตของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสุข
------แล้วสักวันหนึ่ง
------วันที่จะได้พบกับเธออีก
คิดว่าจะยืดอกไปหาอย่างภูมิใจ
เพราะแบบนั้นยังไงตอนนั้นก็ขอร้องล่ะ
ช่วยยิ้มให้เห็นทีเถอะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น