Tasogare no Sinsemilla -Natsu no Omoide-

posted on 11/07/2560 02:28:00 หลังเที่ยง by VermillionEnd Categories:
คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจากหนังสือ Official Visual Fanbook

黄昏のシンセミア ~夏の想い出~
Tasogare no Sinsemilla ~Natsu no Omoide~
ซินเซมิลล่าแห่งยามสนธยา ~ความทรงจำในฤดูร้อน~


กรุงโตเกียว
เขตใกล้ใจกลางเมือง มีบ้านหลังนั้นตั้งอยู่

สภาพภายนอกเป็นสีเทาจากการโบกด้วยคอนกรีต
เป็นสิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยมทื่อๆไร้รสนิยม แต่ก็กลมกลืนไปกับทิวทัศน์รอบข้าง
ในเขตที่อยู่อาศัยซึ่งผ่านการพัฒนาพื้นที่มาแล้ว สิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมมาหลายครั้งหลังนั้นมีป้ายเขียนว่า มินางามิติดไว้

อาคารที่อยู่อาศัยสองชั้นหลังนั้นดูราวกับไม่มีคน
ห้องนั่งเล่นไร้วี่แววของมนุษย์ น้ำที่ไหลลงไปในอ่างล้างจานก็แห้งไปนานแล้ว
ชั้นบนมีห้องของผู้อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ทั้งหมดซึ่งรวมห้องว่างสำหรับแขกเข้าไปด้วยแล้วนั้นไม่มีคนอยู่
ในบรรดานั้นมีห้องหนึ่งเครื่องเรือนถูกเก็บออกไป เป็นห้องว่างก็จริง แต่พวกตู้หนังสือหรือโต๊ะยังคงปล่อยไว้ทั้งอย่างนั้น เป็นร่องรอยว่ามีผู้หญิงเคยอาศัยอยู่ แล้วอีกห้องหนึ่งก็เป็นห้องที่มีพวกคอมพิวเตอร์กับเครื่องเกมอยู่ ห้องทางนี้แม้เจ้าของห้องจะไม่อยู่ แต่ก็มีกลิ่นอายการใช้ชีวิตหลงเหลือ

ในบ้านหลังนั้น
มีเสียงเล็กๆดังขึ้นตรงสุดระเบียงทางเดินชั้นล่าง
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดแกรกๆดังมาจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
ในห้องที่สว่าง ชายวัยทำงานกำลังนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะ
สายตาอันเฉียบคมซึ่งมองผ่านแว่นตานั้นจดจ้องเข้าไปในจอมอนิเตอร์
ข้างข้อความที่ตัวหนังสือเรียงรายกันนั้นมีภาพถ่ายทิวทัศน์ที่ย่อส่วนลงแล้วแสดงอยู่
เป็นพวกภาพป่าหรือแม่น้ำ แล้วก็ภาพโรงแรมน้ำพุร้อนที่สร้างจากไม้
ในโฟลเดอร์มีรายงานการเก็บข้อมูลอยู่
การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาเรียบเรียงใหม่เป็นประโยคให้ผู้อ่านได้อ่านคืองานของเขา

…………

มือหยุดลง
นำมือไปวางบริเวณตาด้วยท่าทางเหมือนกับเหนื่อยล้า แล้วถอนหายใจออกมายาวๆเฮือกหนึ่ง
หลังนำมือออกไปก็ไม่มีแววตาที่มีเครียดแฝงอยู่แล้ว
ใบหน้าที่คลายสมาธิออกไปนั้นมีความอ่อนโยนและความสงบอยู่
สายตากลับไปที่จอมอนิเตอร์อีกครั้ง
ในจอมีภาพทะเลสาบขนาดใหญ่ปรากฏอยู่
สีของทะเลสาบคือสีฟ้าเข้ม
เป็นภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกกันว่าบ่อน้ำสีฟ้า

“……อืม

นึกถึงบ้านที่เคยอาศัยอยู่เป็นเวลานาน
ภาพที่ผุดขึ้นมาคือหมู่บ้านมินาคามิ
ภาพถ่ายบนจอไม่ใช่ภาพของผืนดินที่ว่ากันว่ามีนางฟ้าลงมาก็จริง ถึงอย่างนั้นทะเลสาบสีฟ้าก็กระตุ้นความทรงจำช่วงที่เคยอยู่ที่นั่น
และตอนนี้ ลูกทั้งสองคนของเขาก็น่าจะไปที่นั่นอยู่แน่ๆ
ให้ตายสิ……เจ้าโคสุเกะนี่มัน……

แล้วก็ถอนหายใจ
หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างๆขึ้นมา เปิดเมล์ที่ส่งมาถึงเมื่อครู่
ในนั้นมีคำทักท้ายสั้นๆ, เรื่องที่เผชิญกับคดีที่หมู่บ้านมินาคามิ แล้วก็เรื่องของมินางามิ ซาคุยะ ลูกสาวของเขาเขียนไว้อยู่
………………ไปคล้ายใครกันนะ
เรื่องแบบนั้นตัวเขาเองนั่นล่ะที่รู้ดีที่สุดแล้ว

ไม่รู้จะเขียนตอบกลับไปยังไงดี เลยผลัดไว้หลังทำงานเสร็จ------แต่งานก็เสร็จลงไปจนได้
เขาเลื่อนตัวชิดเข้าไปในเก้าอี้ แล้วถอดแว่นตาออก
อาจเป็นเพราะจ้องจอภาพเป็นเวลานาน พอมือไปสัมผัสโดนก็เริ่มรู้สึกร้อนบริเวณรอบตา

แล้วภายในความมืดซึ่งแสงสว่างถูกปิดกั้นสองชั้นด้วยเปลือกตากับฝ่ามือ ก็ได้ยินเสียงสดใสที่ชวนคิดถึงดังขึ้นข้างหู

ซาคุยะเนี่ย ชอบโคสุเกะจริงๆเนอะ

นั่นเป็นความทรงจำในอดีตเมื่อนานมาแล้ว
ในความทรงจำ ตัวเขายังหนุ่ม แล้วข้างๆนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่
เบื้องหน้าของทั้งสองมีเด็กสองคน
เด็กหญิงพยายามสุดความสามารถเพื่อไล่ตามพี่ชายที่ล่วงหน้าไปก่อน แต่เพราะตามขาของผู้ที่โตกว่าไม่ทัน เลยวิ่งไปทั้งใบหน้าที่จวนเจียนจะร้องไห้
ทางพี่ชายรู้ตัวว่าทิ้งระยะห่าง เลยหยุดรอให้น้องสาวมา
ใบหน้าที่เกือบจะร้องไห้ของเด็กหญิงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แล้วขยับขาเล็กๆวิ่งไปหาพี่ชาย

เธอที่อยู่ข้างกายเขามองภาพที่ชวนยิ้มนั่น พร้อมแกว่งผมหางม้า ราวกับทนความขบขันไม่ได้ ราวกับค้นพบสิ่งน่าสนุก
 ……สนิทกันมันก็ดีอยู่หรอก ……แต่ทั้งคู่เป็นพี่น้องกันนะ
เรื่องแบบนั้น เจ้าตัวรู้ดีที่สุดแล้วน่า แล้วก็นะ ถ้าครอบครัวสนิทกันได้ตลอดเนี่ยไม่คิดว่าน่ายินดีหรอกเหรอ ?
เรื่องนั้น ก็คิดอยู่หรอก
ถ้าถูกยกครอบครัวมาอ้างก็ตอบได้แค่นั้น
พอเห็นเขาที่เป็นเช่นนั้น เธอก็ยิ้มด้วยท่าทางขบขัน

มินางามิ ซายะ
ชื่อจริงคือมินางามิ ซาคุยะ

ปัจจุบันมีตัวตนอยู่แค่ในอีกฟากของความทรงจำอันไกลโพ้น
เธอชอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้วขยับตัวง่าย มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือผมยาวที่รวบเป็นเส้นเดียว
ในยามที่มินางามิ เซย์จินึกถึงเธอ จะมีสีหน้าหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเสมอ
เป็นผู้หญิงที่ยิ้มบ่อยและสดใสราวกับดอกทานตะวัน




ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้า มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่
……เฮ่อ
เช็ดเหงื่อที่ไหลย้อย
ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือโชกไปด้วยเหงื่อ กลายเป็นของที่ไม่มีความหมายไปเรียบร้อย
ไม่ควรเดินมาเลยจริงๆ……
ฟ้าโปร่งไร้เมฆ ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าแสดงถึงความเป็นหน้าร้อน
พอระบายความร้อนออกมาพร้อมๆกับการถอนหายใจ ตัวเขา---------ฟูจิซาวะ เซย์จิก็ก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านมินาคามิ

------ตำนานนางฟ้า

เขาที่เป็นนักเขียนมือใหม่ได้ยินเรื่องนั้นมาจากกองบรรณาธิการที่รับงานมา
งานในคราวนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมนิทานปรัมปราของญี่ปุ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่หนุ่มสาววัย 10 ถึง 20 ปี
ตอนนี้พวกเรื่องราวเหนือธรรมชาติกำลังเป็นกระแสในโลกนิดหน่อย แม้แต่วันที่ในมหาคำทำนายที่ทำให้ทั่วโลกแตกตื่นก็ยังถูกตีความเป็นตัวเลขที่ดูสมกับความเป็นจริง

ดูเหมือนที่หมู่บ้านมินาคามิจะมีตำนานนางฟ้า
ในท้องถิ่นมีพิธีกรรมบวงสรวงนางฟ้าอยู่
แล้วเหมือนจะมีนิทานปรัมปราเรื่องสัตว์ประหลาดอยู่คู่กันด้วย

งานที่เซย์จิรับผิดชอบดูแลไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าบทหนึ่งของหนังสือสไตล์คล้ายนิตยสารที่รวมเรื่องราวสิบกว่าเรื่องไว้
เป็นงานเล็กๆแค่ไม่ถึง 20 หน้าด้วยซ้ำ  ทว่า ตอนนี้แม้จะเริ่มเห็นจุดสิ้นสุดแล้วแต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็เฟื่องฟูอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะเรื่องนั้นกับกระแสความฮิต กองบรรณาธิการเลยใจป้ำจ่ายเงินสำหรับไปเก็บข้อมูลให้ขนาดที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวย่อมๆได้เลย
------แล้วก็
ตอนนี้ที่เพิ่งเริ่มทำงานนั้นพึงพอใจกับงานเล็กๆอยู่ก็จริง แต่ในอนาคตมีความปรารถนาที่จะถักทอเรื่องราวด้วยมือของตัวเอง
ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าประสบการณ์แบบไหนจะเป็นประโยชน์บ้าง
ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจเพื่อนร่วมงานที่เห็นว่ายุ่งยากเลยทำให้เสร็จๆไปด้วยการเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์หรือถมหน้ากระดาษให้เต็มด้วยการอ่านเอกสารผ่านๆ แล้วเดินทางมาถึงชนบทในภูมิภาคคินกิ

ว่าไง พี่ชายเป็นคนนอกเหรอ ?

มีเสียงดังขึ้นราวกับแล่นเข้ามาในหัว ถูกทักโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
อะ……เอ่อ อื้ม ก็นะ
งั้นเหรอ มาดูงานเทศกาลรึเปล่านะ ?
ดูจากวิธีพูดแล้วคงจะเป็นคนในหมู่บ้าน
เนื้อหาที่ทักมาก็ธรรมดามากๆ
ทว่า ที่ลังเลเล็กน้อยที่จะตอบไปก็เพราะรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่ปรากฏแก่สายตาเบื้องหน้า

ผมสีเงินเป็นประกายกับแสงตะวัน ผิวขาวปราศจากความหมองคล้ำ
แล้วก็นัยน์ตาสีแดงที่งดงามราวกับทับทิม
------ไม่ใช่คนญี่ปุ่น ?
แต่โครงร่างหรือหน้าตาก็เป็นแบบหญิงสาวชาวญี่ปุ่น แถมยังเรียงกันสวยได้รูปจนน่าตกใจ
มีอะไรเหรอ ?
อาจเป็นเพราะท่าทางแข็งทื่อของเขาดูตลก หญิงสาวเลยมองเข้ามาที่หน้าของเซย์จิ
ผม……





ล้วงนามบัตรออกมายื่นให้เธอ
แล้วบอกเรื่องที่มาที่หมู่บ้านนี้เพื่อเก็บข้อมูลตำนานนางฟ้า
กับเรื่องที่อยากฟังพวกนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อกันมาในหมู่บ้าน
อธิบายเรื่องเหล่านั้นให้เธอฟังด้วยท่าทางประหม่า

เห~~ แบบนี้นี่เอง เข้าใจละ~”
เพราะแบบนั้น ถ้ารู้จักใครที่รู้ละเอียดล่ะก็อยากให้ช่วยบอกทีน่ะครับ……
อืม~~นั่นสิน้า~ มีที่เหมาะๆอยู่พอดีเลยล่ะ ลองไปที่นั่นดูน่าจะดีรึเปล่านะ
ที่เหมาะๆ ?”
อื้ม นั่นไง
เธอหันกลับไปชี้ประตูโทริอิที่อยู่ข้างหน้า
พอเข้าไปมองใกล้ๆก็พบว่าตรงนั้นมีเขียนไว้ว่าศาลเจ้าคาสุกะ
คุณนักบวชของที่นี่กำลังสืบค้นเรื่องหมู่บ้านอยู่น่ะ คิดว่าน่าจะได้ฟังอะไรดีๆเยอะเลยล่ะ
ขอบคุณครับ
พอโค้งให้เธอเช่นนั้น เธอก็โบกมือให้แล้วแยกตัวไป
งั้นไปล่ะนะ ------อ๊ะ เรื่องที่เจอฉัน ปิดเป็นความลับกับทุกคนนะ
เธอเปล่งรอยยิ้มสดใส  แล้วเดินไปทางภูเขา
…………
เมื่อเธอลับสายตาไป เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
……อะไรกันล่ะนั่น
อย่างกับถูกจิ้งจอกหลอกเลย
ถ้าไม่นับรูปลักษณ์ที่ต่างกันเล็กน้อยแล้ว ก็น่าจะเป็นหญิงสาวธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปแน่ๆ
อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซย์จิ
อาชีพไม่ทราบแน่ชัด
แต่เรื่องอาชีพ วันนี้อาจจะแค่หยุดเฉยๆก็ได้
ส่ายศีรษะพลางคิดว่าช่างเถอะ
แค่คุยสัพเพเหระกันเฉยๆ ไม่คิดจะเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังเป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย ที่นี่ก็แค่มาทำงาน คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วด้วย
แล้วในขณะที่เดินขึ้นบันไดหินยาวๆ ความรู้สึกที่มีต่อเธอก็ได้จางหายไปอย่างน่าตกใจ ขนาดที่นึกเรื่องของเธอไม่ออกอีกเลย


ในศาลเจ้าซึ่งมีพื้นที่กว้าง มีผู้หญิงใส่ชุดมิโกะกำลังถือไม้กวาดปัดกวาดทำความสะอาดอยู่
ยื่นนามบัตรให้เธอ แล้วขอให้ไปติดต่อนักบวชให้
เป็นเพราะมีชาวบ้านที่นิสัยเข้าหาง่ายเยอะหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เลยได้รับการยินยอมง่ายกว่าที่คาด  ได้รับการพาไปยังบ้านที่อยู่ด้านหลัง

ใช้ชีวิตเช่นนั้นมาได้ราวๆ 2 วัน
ค้างคืนในที่พักหน้าสถานี ตอนกลางวันก็ฟังเรื่องราวที่ศาลเจ้าบ้าง สืบค้นพวกที่มาของทะเลสาบบ้าง
หากพบจุดที่สะดุดตาก็จะถ่ายรูปเก็บไว้  ในไม่ช้าก็ฟิล์มเองก็ใช้ไปถึงม้วนที่ 3
แล้วในยามเย็นของวันที่สอง ทันทีที่เก็บข้อมูลที่ศาลเจ้าเสร็จและเริ่มคิดเรื่องกลับโตเกียวนั้นเองก็มีชื่อนั้นถูกหยิบยกเข้ามาในการสนทนา
ตระกูลมินางามิ ?”
ที่อยู่ตรงหน้าคือนักบวชของศาลเจ้าที่บวงสรวงนางฟ้า กับมิโกะผู้มีหน้าที่รำคางุระ
แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแค่หนังสือเกรด B แนวสิ่งลี้ลับ
คิดได้ว่าถ้าเรื่องเก็บข้อมูลล่ะก็แค่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว แต่ก็เกิดสนใจในชื่อตระกูลที่จงใจหยิบยกขึ้นมาพูด
อุตส่าห์มาถึงหมู่บ้านมินาคามิแล้ว
แถมเดิมตั้งใจจะอยู่หลายวันด้วย จึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะพยายามให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ยังไงก็อยากจะไปเก็บข้อมูลทางนั้นด้วยครับ……แต่จะเป็นไรหรือเปล่าครับ
เข้าใจแล้ว กรุณารอสักครู่นะครับ
นักบวชผู้ดูเป็นนักวิชาการโค้งให้อย่างสุภาพ ก่อนจะลุกจากที่นั่งโดยบอกว่าจะไปโทรศัพท์สักครู่
ตัดสินใจลองถามเรื่องตระกูลมินางามิกับมิโกะที่รินชาเติมให้
นั่นสินะคะ……พูดได้แค่ว่าเป็นครอบครัวที่มีประวัติยาวนาน
เป็นไอแบบที่เรียกกันว่าตระกูลเก่าแก่สินะครับ……ท่าทางดูเป็นพิธีรีตองยังไงไม่รู้ จะเป็นไรรึเปล่านะ
วางใจได้ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ
ตอบกลับมาทันควัน
พอสงสัยเรื่องนั้น เธอก็พูดเสริม
ก็คุณซาคุยะเป็นคนร่าเริงมากและเป็นคนดีนี่คะ
ซาคุยะ……?”
ผู้หญิงที่ชื่อมินางามิ ซาคุยะค่ะ เป็นคนดีมากเลยล่ะค่ะ
เฮ่อ……เข้าใจแล้วครับ
เหมือนจะเสียแม่ไปก่อนวัยอันควร เลยอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คนกับพ่อและน้องสาวที่อายุห่างกัน
แต่ทำไมถึงได้พูดเรื่องคุณมินางามิ……เอ่อ ไม่ใช่ทางคุณพ่อ แต่เป็นคุณซาคุยะ ?”
เอ๊ะ ก็……
มิโกะเอียงศีรษะด้วยความฉงน
ก็เพราะคุณซาคุยะเป็นคนพิเศษขนาดนั้นเลยยังไงล่ะครับ
นักบวชกลับมา
พิเศษ ?
เป็นครอบครัวที่มีธรรมเนียมแปลกนิดหน่อยน่ะครับ
นักบวชกล่าวเช่นนั้นออกมา พร้อมแจ้งว่านัดหมายได้เรียบร้อยแล้ว

เดินไปในหมู่บ้านที่ย้อมด้วยสีอัสดงพร้อมแผนที่เขียนด้วยมือ
เป็นทางที่เคยผ่านมาบ้างแล้ว
ข้างหน้ามีย่านร้านค้าเล็กๆ  ที่ร้านขายของชำชื่อ ร้านขายของทาคามิมีคุณยายที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยชรากับผู้หญิงที่เหมือนจะเป็นลูกสาวอยู่ ด้วยความคิดถึงวัยเด็กเลยเผลอซื้อของอย่างขนมราคาถูกไปจนได้
ย่านร้านค้าเล็กๆนั้นคึกคักพอประมาณ พอมองเข้าไปในร้านตามเสียงเรียกของร้านขายผัก ก็มีแตงโมที่หั่นเป็นชิ้นแล้วยื่นมาให้
เซย์จิคิดว่าช่างเป็นหมู่บ้านที่มีผู้คนที่อบอุ่นอาศัยอยู่จริงๆ
ปกติที่ทำงานจะมีบรรยากาศตึงเครียด มีเสียงพูดคุยกันเรื่องต้นฉบับกับเสียงด่าทอแล่นผ่านหูไปมา
อาจเป็นเพราะความเครียดนั้นด้วยหรือเปล่านะ
เลยคิดเล็กน้อยว่าการลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้มันเป็นอะไรแบบไหนกันนะ


บ้านมินางามิที่ดั้นด้นมาถึงนั้นกลับเป็นบ้านธรรมดาต่างจากที่จินตนาการไว้ลิบลับ
พื้นที่กว้าง มีโกดังสร้างไว้ด้วยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าใหญ่จนบ้านหลังอื่นเทียบไม่ติด
พอคิดจากสภาพท้องที่แล้วก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
ตรงทางเข้าตัวบ้านมีเด็กผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลอมเหลืองอยู่
เธอสวมชุดนักเรียนไว้บนร่างกายเล็กๆนั่น และกำลังมองมาทางนี้
สวัสดี……
เธอใช่ ซาคุยะรึเปล่านะ
พอเขาโค้งศีรษะให้เล็กน้อย เด็กหญิงก็ไปทางเฉลียง แล้วตะโกนเข้าไปในบ้าน
คุณพ่อค้า~ ! แขกมาแล้ว~”
ไม่รู้ว่าใช่เจ้าตัวรึเปล่า แต่ดูเหมือนจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ผิดแน่
เมื่อได้ยินเสียงลูกสาว ชายที่มีผมหงอกประปรายก็ออกมาจากในบ้าน
เชิญ  เข้ามาได้เลย
เป็นเสียงทุ้มหนักที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความเข้มงวด



------------ชักอยากกลับแล้วสิ

หลังได้รับการเชิญเข้ามาในห้องนั่งเล่นไม่กี่นาที เซย์จิก็ส่งเสียงโอดครวญออกมาเป็นที่เรียบร้อย
ชายซึ่งกำลังลูบผมที่หงอกประปรายอยู่นั้น สีหน้าเองก็เข้มงวดด้วย ปล่อยบรรยากาศหนักอึ้งแผ่ซ่านออกมาอยู่
ไม่ใช่ว่ากำลังถูกทำไม่ดีใส่ แต่เพราะพูดน้อย คำพูดของทางนี้เลยค่อยๆน้อยลงไปเรื่อยๆตามบรรยากาศที่เหมือนกับจะไม่ยอมให้อภัยหากเผลอหลุดปากอะไรไม่ดีออกมา
แล้วน่าจะเป็นการมาเก็บข้อมูลแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเซย์จิได้แต่ตอบคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ซัตสึกิ
พอชายผู้มีผมหงอกประปรายเรียกชื่อด้วยเสียงที่เบาแต่ฟังชัด เด็กผู้หญิงเมื่อครู่ก็เข้ามา
ไปเรียกซาคุยะมา
ถ้าพี่สาวล่ะก็มาอยู่ตรงนั้นแล้วนะ ?
แล้วเธอก็ชี้ไปทางห้องที่ไม่ได้ปูพื้น เป็นดินอยู่ทั้งอย่างนั้น
“---------------อะ
สายตาถูกรูปลักษณ์นั้นสะกดไว้
ผมดำยาวเป็นประกายเหยียดตรงทับลงบนเสื้อผ้าอาภรณ์ราวกับเส้นไหมสีดำ
ที่ห่อหุ้มกายอยู่คือกิโมโนสีดำขลับ
บนเนื้อผ้าสีดำมีสีสันสดใสโลดแล่น ลวดลายซึ่งปักด้วยด้ายสีทองให้ความรู้สึกสดใสกลบสีโทนทึบ
เป็นกิโมโนหรูหราขนาดที่แม้แต่มือสมัครเล่นยังดูออก
แล้วผู้ที่สวมมันอยู่เองก็ให้ความงามไม่ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าอาภรณ์
“………………เฮ่อ
ทว่า ผู้เป็นพ่อกลับเพียงชำเลืองมองร่างของลูกสาวที่ตราตรึงสายตาของเซย์จิไว้ แล้วถอนหายใจ
ชุดของแม่ เอาไปเก็บให้เหมือนเดิมด้วยล่ะ
แน่นอนอยู่แล้ว
เธอเอียงศีรษะแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย
เพียงเท่านั้นความรู้สึกที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
บรรยากาศหนักอึ้งซึ่งถูกแต่งแต้มเป็นสีดำได้สงบลง ความอ่อนโยนอันงดงามเผยออกมาให้เห็นบนใบหน้า
แม้จะไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ก็รู้อยู่แล้ว
เธอคือมินางามิ ซาคุยะ
คือคนพิเศษที่ได้ยินที่ศาลเจ้า


ซาคุยะนั่งลงบนที่นั่ง ข้างๆนั้นมีเด็กผู้หญิงที่เมื่อครู่ถูกเรียกว่าซัตสึกินั่งลงไป
ภาพของเธอซึ่งหลับตาและนั่งทับส้นเท้าหลังเหยียดตรงนั้นช่างงดงาม ทว่า ใบหน้าที่รอยยิ้มจางหายไปนั้นไม่ได้มีความอบอุ่นเหมือนเมื่อครู่ แต่แฝงไว้ด้วยความคมกริบที่หากสัมผัสโดนก็จะบาดมือเอาได้
นั่นเป็นบรรยากาศแบบเดียวกับที่ชายผู้อยู่ตรงหน้ามี ทำให้ตระหนักได้จริงๆว่าทั้งคู่เป็นพ่อลูกกันแน่นอน

หลังยื่นนามบัตรให้และแนะนำตัว ก็เป็นแบบนี้มาตลอด
เซย์จิแอบถอนหายใจในใจเล็กน้อย
แบบนี้ก็แค่แรงกดดันจากด้านหน้ากลายเป็นสองเท่าแค่นั้น
รอยยิ้มเมื่อครู่เป็นสิ่งที่มอบให้กับครอบครัว ไม่ใช่ตนงั้นเหรอ
โฉมหน้าสำหรับคนนอกคือทางนี้ ซึ่งไม่มีบรรยากาศเป็นมิตรอยู่
…………?”
น่าจะเป็นเช่นนั้นแน่ๆ แต่------





เธอยกนิ้วที่ขาวและเรียวยาวขึ้น
นำมันไปเลียบบนใบหน้าซึ่งหลับตาอยู่และไร้อารมณ์ราวกับน้ำแข็ง

อุ๊บ !
ในวินาทีต่อมา เซย์จิก็ต้องหัวเราะ
เพราะฝืนหุบปากเพื่อกลั้นหัวเราะ เลยเกิดเป็นเสียงแปลกๆดังออกไปรอบข้าง
นิ้วที่ซาคุยะนำมาเลียบจมูกนั้นกดลงไปทั้งอย่างนั้น จนจมูกกลายเป็นรูปร่างคล้ายจมูกหมูทั้งที่ยังมีสีหน้าเย็นชาอยู่
ทั้งสองคนไม่รวมซาคุยะ มองเซย์จิที่จู่ๆหายใจค่อกแค่กด้วยความสงสัย
เซย์จิไม่ได้ปล่อยให้ภาพซาคุยะที่ยิ้มเล็กน้อยกับความสำเร็จอยู่ข้างหลังหลุดรอดสายตาไป
“……มีอะไรเรอะ ?
มะ ไม่มีอะไรครับ……แค่ก ขอ โทษ แค่สำลัก นิดหน่อย……แค่ก ค่อก
งั้นเหรอ……?
ขออภัยอย่างยิ่งที่เสียมารยาทครับ……
ในขณะที่กล่าวเช่นนั้นก็ยื่นมือไปยังถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะ
จิบชาหนึ่งอึกให้ลมหายใจสงบ
เป็นอะไรรึเปล่าคะ ?
อะ อื้ม โทษทีนะ ที่ทำให้เป็นห่ว------
เมื่อมองไปทางเด็กผู้หญิงชื่อซัตสึกิก็พบว่าข้างหลังนั้นมีของประหลาดอยู่
เป็นหน้ากากที่มีขายในงานเทศกาล
สงสัยว่าทำไมของแบบนั้นถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ แต่ถ้าเป็นของจากงานเทศกาลล่ะก็บางทีคงจะมีวางไว้เฉยๆบ้าง
ซัตสึกิไม่เห็นงั้นเหรอ เลยไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจกับมันด้วย ส่วนซาคุยะที่อยู่ข้างๆก็ทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่
ในที่สุดอาการหัวเราะก็สงบลง
สูดหายใจเข้า แล้วเอ่ยปากขึ้นในบรรยากาศที่ความตรึงเครียดคลายลงไปบ้างแล้ว
เรื่องเหตุผลที่ผมมาที่นี่น่ะครับ------
ตรงหางตาเห็นอะไรบางอย่างกำลังขยับ
ซาคุยะเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่าง
เป็นหน้ากากที่เห็นเมื่อครู่ หน้ากากตัวการ์ตูนที่ใช้อุปกรณ์วิเศษหลายอย่างและได้รับความนิยมจากทั่วประเทศ
แต่เพราะแบบนั้นล่ะถึงเดาออกว่าจะมีอะไรมา
คราวนี้นี่ล่ะ จะทนหัวเราะแล้วเอาชนะให้ดู ตัดสินใจแน่วแน่เล็กน้อยภายในใจเช่นนั้น
เธอนำมือไปแตะที่หน้าของตัวเองด้วยท่าทางตามที่เซย์จิคาด แล้วเอ่ยพึมพำขึ้นมาหนึ่งคำ
ผม โนบิตะคุง
อุ๊บ ฮ่า !!
โดนเล่นงานแบบไม่คาดคิด เลยสำลักอีกครั้งทั้งที่มุกตลกยังไม่จบ
คุณฟูจิซาวะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?
แล้วเจ้าตัวที่เป็นคนทำให้หัวเราะก็ถามมาทันทีหน้าตาเฉย
มะ ไม่……เป็นไร……
ซะที่ไหนเล่า
ตอนนี้ภาพลักษณ์ที่มีแต่แรกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
ถ้าลองคิดดูดีๆก็พอจะมีของที่คล้ายลางบอกเหตุอยู่บ้าง
ทั้งที่เป็นเสื้อผ้าที่เข้ากันขนาดนั้น แต่โทนเสียงที่มีต่อลูกสาวซึ่งสวมสิ่งนั้นกลับมีความเอือมระอาปนอยู่ราวกับจะบอกว่าอีกแล้วเรอะ
แล้วสีหน้าที่คิดว่าเย็นชาราวกับน้ำแข็งนั่นคงเป็นเพราะกำลังกลั้นหัวเราะเพื่อรอเวลาที่ใกล้จะมาถึง
เป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ
พิลึกเอามากๆ แล้วก็น่าเจ็บใจที่ได้แต่โดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว

แล้วที่ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพื่อ------
แอบมองซาคุยะด้วยหางตา
ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับใส่หน้ากากละครโนอยู่

------แหย่คนนอกเล่นเนี่ยมันสนุกนักเหรอไง ?

แม้จะคิดว่าช่วยคลายความตึงเครียดลงไปได้ แต่ก็มีความรู้สึกที่คิดเช่นนั้นอยู่เล็กน้อย
เพราะแบบนั้น ต่อไปเป็นตาทางนี้บ้างล่ะ
โชคดีที่บรรยากาศหนักอึ้งในห้องนั่งเล่นเบาบางลงแล้ว
ถ้าแค่โต้กลับซาคุยะเบาๆล่ะก็คงไม่เป็นไร
ที่คิดเช่นนั้นเองก็เป็นเพราะความรู้สึกหลงใหลเธอในแวบแรกที่เห็น
เธออาจจะพยายามช่วยคลายความตึงเครียดให้ก็เป็นได้ แต่ก็เหมือนถูกล้อเล่นกับความรู้สึกดีๆเล็กน้อยที่ผุดขึ้นมาในใจตั้งแต่ก่อนจะได้พูดคุยกัน ด้วยเหตุนั้นเลยอาจจะเกิดความดื้อดึงขึ้นมานิดหน่อย

กรุณายกลูกสาวให้ผมเถอะครับ

คำพูดนั้นออกมาจากปากง่ายดายกว่าที่จินตนาการไว้
ราวกับนั่นเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
หรือไม่ก็ราวกับมาที่นี่เพื่อพูดคำๆนั้นจริงๆ
ก่อนที่คำพูดนั้นจะถูกปล่อยให้ผ่านเลยไป------
ก็มีเสียงที่ไพเราะราวกับสั่นกระดิ่งดังขึ้น

ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

ใช้เวลานานกว่าจะรับรู้ได้ว่านั่นคือเสียงคน
……แล้วกว่าจะเข้าใจความหมายในคำพูดของทั้งสองฝ่ายได้กระจ่างชัดก็ต้องใช้เวลามากขึ้นไปอีก




“…………เฮ่อ
นำมือออกมาจากบริเวณตา
ดูเหมือนจะหลับไปเล็กน้อย
ความรู้สึกร้อนบริเวณรอบตาหายไปแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยจากงานเองก็คลายลงไปบ้าง

…………ให้ตายสิ เทียบเธอไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ

ขณะที่อ่านเมล์ที่ส่งมาจากลูกชาย ก็พูดกับภรรยาที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว

เป็นชีวิตการแต่งงานที่สั้นน้อยนิด แค่ราวๆ 10 ปี
พอมาถึงตอนนี้ ชื่อ ซาคุยะจะนึกถึงทางลูกสาวซะมากกว่า
แล้วชื่อ ซายะของภรรยาที่มอบนาม ซาคุยะให้ลูกสาวไปแล้วนั้นเคยเรียกแทบจะนับครั้งได้
เริ่มเรียกว่าแม่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วในที่สุดก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
……ช่วงเวลาที่เคยเรียกด้วยชื่อสั้นกว่าแฮะ

ที่ข้างหูได้ยินเสียงในตอนนั้นอีกครั้ง

ซาคุยะเนี่ย ชอบโคสุเกะจริงๆเนอะ
ใส่เสื้อผ้าที่ขยับตัวง่าย รวบผมดำยาวไว้ด้วยกันเป็นเส้นเดียว
โฉมหน้าตอนพบกันครั้งแรกเป็นการจัดฉากแกล้งให้แขกตกใจอย่างหนึ่ง
เธอที่หัวเราะบ่อยและอยู่ไม่สุขนั้นชอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้วขยับตัวง่ายเป็นที่สุด

แต่ซาคุยะหัวรั้น ถ้าอนาคตเกิดทั้งคู่ชอบกันขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงเหรอ ?
ถึงจะถามว่าทำยังไงก็เถอะ……ตอบยากแฮะ เรื่องนั้นน่ะ
นั่นสินะ ตอบยากจริงๆนั่นล่ะนะ
แต่ว่า……นั่นสินะ อืม คิดว่าก่อนอื่นจะโกรธ แล้วค่อยคุยกัน
แบบก่อนหน้านี้เหรอ
อืม แบบก่อนหน้านี้

ชีวิตที่ผ่านมานี้ไม่เคยต่อยคนมาก่อน
แต่ตั้งแต่ลูกเกิดมา นั่นก็กลายเป็นหน้าที่ของเซย์จิ
เด็กที่ทำไม่ดีนั้นต้องดุให้เรียบร้อย
แม้จะต้องลงไม้ลงมือก็ตาม เพราะเด็กที่ไม่เคยโดนเช่นนั้นจะไม่เข้าใจความเจ็บปวด
แม้มือที่ต่อยจะสั่นระรัว แม้เสียงจะขึ้นสูงด้วยความโกรธ แต่ก็คิดว่าสั่งสอนเรื่องการคิดกับการตัดสินใจเรื่องต่างๆมาโดยตลอดเพื่อไม่ให้พวกเด็กๆเดินทางผิด
แล้วการปลอบโยนลูกๆที่ร้องไห้ก็คือหน้าที่ของแม่
กับเธอที่ถามว่า กลับกันไม่เหมาะกว่าเหรอ ?เองก็เคยไม่ยอมให้
เพราะคิดว่าถ้าโกรธลูกไม่ได้ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพ่อ

หลังเธอตายไปเองก็คิดว่าเลี้ยงลูกมาตามที่ตกลงไว้ด้วยกันสองคน
เรื่องคิดให้ดี
แล้วก็เรื่องการตัดสินใจ
ผลลัพธ์ที่ลูกทั้งสองเลือกนั้นถูกต้องหรือไม่------เรื่องนั้นแม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้

เพราะแบบนั้นตนจะทำหน้าที่ในฐานะพ่อ
ทั้งคู่จะกลับมาบ้านตอนปลายเดือนสิงหาคม
มีเรื่องต้องคุยกันมากมาย
เรื่องคดีที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านมินาคามิ เรื่องของตระกูลมินางามิที่เขียนลงในเมล์ไม่หมด แล้วก็เรื่องการตายของซายะ
ปีที่แล้วกับปีนี้ เกิดอะไรขึ้นในฤดูร้อนทั้งสองกันแน่
ตนคงจะได้รู้ความจริงที่ยังไม่รู้มากมาย เพราะนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ลูกๆประสบมากับตัว

ในขณะที่คิดเรื่องที่จะพูดเวลานั้น------ก็ส่งข้อความตอบกลับสั้นๆไปหาลูกชาย

[แม่เป็นคนสวยมากเลยล่ะ]

อยากให้นึกให้ออกว่าเธอที่เหลืออยู่ในความทรงจำของทั้งสองไม่ใช่ภาพตอนตาย
อยากให้นึกถึงชีวิตประจำวันธรรมดาๆที่เธอยิ้มบ่อยและปรารถนาความสุขของทั้งคู่มาตลอด

ยังไงก็ขอให้อนาคตของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสุข

------แล้วสักวันหนึ่ง
------วันที่จะได้พบกับเธออีก คิดว่าจะยืดอกไปหาอย่างภูมิใจ

เพราะแบบนั้นยังไงตอนนั้นก็ขอร้องล่ะ
ช่วยยิ้มให้เห็นทีเถอะ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น