Prologue (Part 4) : วิญญาณร้าย
ชินจิวิ่งมาถึงหน้าโรงเรียน
เพื่อนสมัยเด็กกับน้องสาวของเขารอเขาอยู่ที่หน้าประตูตามที่บอกไปทางเมล
พวกเธอมองเขาด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรงั้นเหรอ จู่ๆก็… ทำเอาตกอกตกใจเลยล่ะ” มาโดกะเอ่ยปาก
“อา……นิดหน่อยน่ะ” เขากลบเกลื่อนไป
ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย
“เอ้า รีบกลับกันเถอะ” เขาตัดบท
ทั้งคู่ยังคงสงสัยอยู่ก็จริง แต่ก็เดินตามมา
ขากลับมาโดกะถามเขาเรื่องผลการตรวจร่างกาย
พอได้ยินว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เพื่อนสมัยเด็กของเขาก็มีท่าทางโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
เธอบอกว่าตกใจมากที่จู่ๆเขาก็ส่งเมลมา
นึกว่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงซะอีก
หลังแยกกับมาโดกะที่หน้าบ้านแล้ว
ชินจิก็ถามฮัตสึเนะว่าต้องกลับไปเปลี่ยนชุดที่คอนโดก่อนใช่ไหม แล้วก็อาสาเดินไปส่งที่คอนโดให้
ฮัตสึเนะสังเกตเห็นแล้วว่าพี่ชายของเธอมีท่าทางแปลกๆ
แต่เพราะความดีใจที่พี่ชายของเธออุตส่าห์มาส่งเธอถึงคอนโด
เด็กหญิงจึงลืมความสงสัยเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
หลังจากนั้นเธอยังเล่าให้คุณแม่ของเธอฟังว่าวันนี้พี่ชายมารับเธอถึงหน้าโรงเรียนเลย
ทว่า
ไม่รู้ทำไมมิยาโกะผู้เป็นแม่กลับมีสีหน้าลำบากใจ
ตกกลางคืน
วันนี้ชินจิก็คุยกับเพื่อนสมัยเด็กของเขาทางหน้าต่างเหมือนเช่นเคย
แต่ที่ไม่เหมือนเคยคือเขาไม่มีสมาธิกับเรื่องที่คุย
มัวแต่พยายามมองเข้าไปในห้องของเธอ
ไม่ใช่ว่าเขาอยากแอบดูห้องของมาโดกะ เขาแค่กลัวว่าในห้องของเพื่อนสมัยเด็กที่แสนสำคัญของเขาจะมี “พวกมัน” อยู่
ท่าทีของเขาแปลกไปจนเด็กสาวต้องถามออกมาด้วยความเป็นห่วงว่าไม่ได้บาดเจ็บอะไรจริงๆเหรอ
ชินจิตอบเธอไปว่าไม่เป็นไรจริงๆ
ผลตรวจที่โรงพยาบาลก็ยืนยันแล้วว่าไม่มีอะไร เขาแค่ยังเบลอๆอยู่นิดหน่อย
เธอเลยบอกว่าถ้างั้นรีบนอนน่าจะดีกว่า
จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไป
จะว่าไป เมื่อวานเธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับเขารึเปล่านะ
เด็กหนุ่มเพิ่งนึกได้
แต่ก็พลาดโอกาสถามไปแล้ว
วันรุ่งขึ้นชินจิก็ยังคงเฝ้าระวังวิญญาณร้ายต่อไป
ทั้งตอนเดินไปโรงเรียนด้วยกันกับมาโดกะและฮัตสึเนะ
ตอนอยู่ที่โรงเรียน หรือแม้กระทั่งตอนอยู่กับเพื่อน
วันต่อมาเองก็เช่นกัน
วันต่อๆมาเองก็ด้วย
จนผ่านไปครึ่งสัปดาห์
ซาบาเอะจึงมาเตือนด้วยความหวังดีในฐานะเพื่อนว่าเรื่องของเขาตอนนี้กลายเป็นข่าวลือไปแล้ว
ลือกันอย่างหนาหูว่าฟุคิงามิ ชินจิที่อยู่
ม.2 มีสายตาลอกแลกตลอดเวลาเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่
อาจจะเป็นบ้าก็ได้
อีกด้านหนึ่ง
อาคิสึ มาโดกะสังเกตเห็นว่าหลังประสบอุบัติเหตุ
เพื่อนสมัยเด็กของเธอก็มีท่าทีแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด
ตอนเจอหน้ากัน หรือตอนพูดคุยกัน
ก็เหมือนใจไปจดจ่อกับเรื่องอื่นอยู่
ชินจิมีเรื่องกังวลอะไรบางอย่างอยู่ แต่เขาไม่ยอมบอกเธอ
พอเห็นเขามีท่าทางเช่นนั้น
เด็กสาวก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
รู้สึกราวกับว่าเขาจะหายไปที่ไหนสักแห่งที่ไกลแสนไกล
เด็กสาวคิดเช่นนั้นแล้วก็แอบฝืนยิ้มอยู่ในใจ
คนที่จะไปที่ไหนไกลๆไม่ใช่เขา
แต่เป็นตัวเธอต่างหาก
ชินจิรู้สึกอึดอัดที่ต้องเก็บเรื่องวิญญาณร้ายไว้กับตัวคนเดียว
เล่าให้ใครฟังไม่ได้
อยากจะปรึกษาคนอื่น แต่ก็ทำไม่ได้
นั่นเป็นเพราะคนที่มองเห็นพวกมันมีแค่เขาคนเดียว ถึงจะเอาไปเล่าให้คนที่มองไม่เห็นฟังก็คงไม่มีใครยอมเชื่ออยู่ดี
กับเรื่องบ้าๆแบบนี้ อย่างดีสุดก็แค่ถูกมองว่าป่วย
เด็กหนุ่มรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย
…
…
…
เดี๋ยวก่อนสิ เรื่องบ้าๆงั้นเหรอ…
เขาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้
ใช่แล้ว
มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าๆขนาดไหนก็ยอมรับฟัง
เด็กหนุ่มไปหาเพื่อนผู้โตกว่ามากที่สำนักงานนักสืบแล้วเล่าเรื่องที่เห็นวิญญาณร้ายให้ฟัง
คุณฮิเดะตั้งใจฟังอย่างตื่นเต้น แล้วบอกกับเขาว่ายอดไปเลย
ชินจิคุงมีคุณสมบัติของฮีโร่จริงๆด้วย
จากนั้นคุณฮิเดะก็ชวนเขาออกไปตามหาวิญญาณร้ายด้วยกัน
ทว่า แม้จะตระเวนหาด้วยกันพักใหญ่แล้วก็ยังหาไม่เจอ
ตั้งแต่ที่เห็นมันหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตวันนั้น
เขาก็ไม่เห็นพวกมันอีกเลย
ในตอนที่เลิกล้มแล้วกำลังจะกลับกันนั้นเอง…
มันก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
เด็กหนุ่มรีบบอกกับเพื่อนผู้อายุมากกว่าว่าเจอวิญญาณร้ายแล้ว
“มองไม่เห็นอ่ะ…”
เป็นไปตามคาด
คุณฮิเดะมองไม่เห็นมันจึงได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัย
วิญญาณร้ายจ้องมองมาทางพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะย้ายไปทางอื่น
คุณฮิเดะบอกให้ไล่ตามไป
วิญญาณร้ายเมื่อครู่ปรากฏให้เห็นเป็นพักๆ
ทั้งสองไล่ตามมันมาจนถึงริมทะเลก่อนจะคลาดสายตาไป
“เอ๊ะ……?”
ในตอนนั้นเองเพื่อนของเขาชี้ไปทางหนึ่ง
พอลองมองตามไปก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังถือมีดเดินหายเข้าไปในตรอก
พวกเขาตัดสินใจเดินตามเข้าไปดู
แล้วสิ่งที่พบก็คือ…
…ร่างของผู้หญิงที่โดนแทงจมกองเลือด
ส่วนชายถือมีดเมื่อครู่ที่น่าจะเดินเข้ามาในตรอกนี้แน่ๆกลับหาตัวไม่เจอ
คลาดสายตาไปโดยสิ้นเชิง
เขากับคุณฮิเดะอ้าปากค้างด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโทรแจ้งตำรวจ
พวกชินจิออกมารออยู่หน้าตรอก
ตำรวจมาถึง
พวกเขาเลยนำทางตำรวจเข้าไปในตรอก
ทว่า…
ร่างของผู้หญิงที่โดนแทงจมกองเลือดเมื่อครู่กลับหายไปแล้ว
ทั้งร่างของผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นศพ หรือหากยังไม่ตายยังไงก็ไม่น่าจะเดินไหว
ทั้งเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับตรงนั้นไม่เคยมีอะไรอยู่มาแต่แรก
ตำรวจคิดว่าพวกเขาแกล้งรายงานเท็จเลยโกรธมาก
จากนั้นก็เตือนชินจิว่าให้เลือกคบเพื่อนหน่อย ก่อนจะขับรถออกไปทันทีด้วยความฉุนเฉียว
ชินจิจึงถามคุณฮิเดะว่ารู้จักกับตำรวจคนเมื่อกี้เหรอ
เพื่อนผู้อายุมากกว่าจึงบอกกับเขาว่าช่วงที่ไม่มีงาน
ขโมยของกินบ้าง กินแล้วหนีบ้าง เลยโดนจำหน้าได้
หลังจากนั้นชินจิกับฮิเดโนริก็คุยกันเรื่องเหตุการณ์เมื่อครู่
ทั้งสองฝ่ายยืนกันให้กันและกันว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ
แต่ก็มีจุดที่ไม่เข้าใจอยู่
ถึงจะต่อให้สุดๆว่าผู้หญิงเมื่อครู่ยังไม่ตายแล้วลุกขึ้นเดินไปที่อื่นจริง
ยังไงก็ต้องเหลือรอยเลือด
ทว่ารอยเลือดที่ว่ากลับหายไปด้วย
จะยังไงก็ตาม
ที่เมืองซากุระโนะโมริแห่งนี้มีฆาตกรแอบซ่อนอยู่จริงๆ
จะศพนักเรียนมัธยมต้นที่เขาเจอในป่าเมื่อวันอาทิตย์ก็ดี จะศพเมื่อครู่ก็ดี
ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ตำรวจก็จะไม่ยอมขยับ
“ฆาตกรกระหายเลือดแบบนั้น……จะให้ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆงั้นเหรอ……” ชินจิพูดขึ้นด้วยความเจ็บใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ชินจิคุง” เพื่อนผู้โตกว่าบอกกับเขา
“เอ๊ะ……?” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
“ที่เมืองซากุระโนะโมริแห่งนี้น่ะมีฮีโร่อยู่
แล้วก็จะคอยจัดการกับคนไม่ดีพวกนั้นให้น่ะ”
พอได้ฟังคำพูดนั้นของคุณฮิเดะ ชินจิก็ผิดหวังเป็นอย่างมากแล้วบอกไปว่านี่มันคือความเป็นจริง
ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
แต่อีกฝ่ายฟังคำพูดของเขาแล้วกลับเพียงแค่แสดงสีหน้างุนงงออกมา
จากนั้นทั้งคู่ก็กลับไปที่สำนักงานนักสืบแล้วแยกกัน
คืนวันนั้น ชินจิตัดสินใจเล่าเรื่องที่เขาเก็บงำไว้ให้มาโดกะฟัง
“เอ่อ คือมีเรื่องอยากจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ……” เด็กหนุ่มพูดเกริ่น
“เรื่องที่อยากคุย ? …… มีอะไรงั้นเหรอ ?” เด็กสาวแปลกใจ
ปกติแล้วความสัมพันธ์ของพวกเธอไม่จำเป็นต้องมีการพูดเกริ่นอะไรแบบนี้
“จู่ๆมาพูดเรื่องแบบนี้……มาโดกะอาจจะลำบากใจก็ได้ แต่…” เด็กหนุ่มพูดต่อ
“หืม” เด็กสาวนิ่งเงียบ
ดูเหมือนเธอกำลังเดาเรื่องที่เขากำลังจะพูดอยู่
“แต่ชั้นจริงจังนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เอ๊ะ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
เพื่อนสมัยเด็กของเขาก็หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอเป็นอะไรรึเปล่านะ
“เพราะแบบนั้นเลยอยากจะให้เธอรับฟังไว้” เด็กหนุ่มกล่าวกับเด็กสาว
“อะ อื้ม……” เด็กสาวตอบกลับมาด้วยท่าทางเหมือนกำลังเตรียมใจและคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่
เด็กหนุ่มจึงพูดในสิ่งที่ตนต้องการจะบอกออกไป
“ฮะ ?
วิญญาณร้ายงั้นเหรอ
?” มาโดกะมีสีหน้าผิดคาด
เป็นอารมณ์เหมือนกับว่าสิ่งที่คาดเดาไว้กลายเป็นคนละเรื่องกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
“อา” ชินจิตอบกลับคำพูดของเธอด้วยท่าทางจริงจัง
“…………หืม ? อ๊ะ เรื่องที่อยากจะพูดเนี่ย เรื่องนั้นหรอกเหรอ” เธอถามเขา
“ใช่แล้วล่ะ” เขายืนยัน
“……อะไรกัน” เด็กสาวมีท่าทางผิดหวังสุดๆขึ้นมาในทันที
ใช่แล้วล่ะ เรื่องบ้าๆแบบนี้ไม่มีใครยอมเชื่อหรอก
ถึงอย่างนั้น…
“ช่วยตั้งใจฟังทีเถอะ
ชั้นจริงจังจริงๆนะ”
เด็กหนุ่มก็ยังขอร้องให้เพื่อนสมัยเด็กซึ่งเป็นคนที่เข้าใจเขาที่สุดรับฟัง
“อ๊ะ อืม”
พอเขาขอร้อง
มาโดกะก็กลับมาตั้งใจฟังทันที
“จะยอมเชื่องั้นเหรอ ?”
หลังเล่าจบ ชินจิก็แปลกใจกับท่าทีของเธอ
“ก็ต้องเชื่ออยู่แล้วสิ ก็เป็นเรื่องที่ชินจิเป็นคนพูดนี่นา”
แม้จะเป็นเรื่องบ้าๆ แต่มาโดกะก็ยังรับฟังและเชื่อเขา
เด็กหนุ่มขอร้องให้พรุ่งนี้เด็กสาวหยุดชมรมเพื่อไปตามหาวิญญาณร้ายด้วยกัน
เด็กสาวคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลง
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันเข้านอน
หลังเลิกเรียนวันถัดมา ทั้งสองก็ไปตามหาวิญญาณร้ายด้วยกันตามที่ได้ตกลงไว้
ระหว่างกลับจากโรงเรียนไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน
มาโดกะถามเขาว่างานอดิเรกปั่นจักรยานจะเอายังไงในเมื่อจักรยานพังไปแล้ว
ชินจิเลยบอกว่าจักรยานเสือหมอบราคาแพง คงต้องพักไว้ก่อน
ไว้ขึ้นมัธยมปลายเมื่อไรจะทำงานพิเศษเก็บเงินซื้อ ถึงตอนนั้นแล้วเขาก็อยากจะให้เธอไปขี่จักรยานเคียงข้างกันอีก
พอได้ฟังคำตอบ
เพื่อนสมัยเด็กของเขาก็มีสีหน้าเศร้าเล็กน้อยแล้วเงียบไป
หลังเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ออกไปตามหาวิญญาณร้ายด้วยกัน
ทีแรกเขาตั้งใจว่าตัวเองจะขี่จักรยานแม่บ้านแล้วให้มาโดกะขี่จักรยานเสือหมอบของเธอไป
แต่เธอกลับยืนกรานไม่ยอม บอกว่าถ้าชินจิไม่มีจักรยานเสือหมอบ
เธอก็จะไม่ขี่จักรยานเสือหมอบของเธอ
สุดท้ายมาโดกะจึงมานั่งซ้อนท้ายจักรยานแม่บ้านของเขาแทน
ร่างกายของเด็กสาวแนบชิดกับเด็กหนุ่ม
ฟุคิงามิ
ชินจิสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆที่ผุดขึ้นมาในอก เป็นความรู้สึกที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยมีมาก่อน
ชินจิกับมาโดกะตามหาวิญญาณร้ายไปพร้อมกับคุยเล่นกันไปพลางๆ
ทั้งคู่มาถึงสวนสาธารณะ จอดจักรยานไว้ แล้วพักคุยกัน
“นี่……ชินจิ”
ระหว่างที่คุยกัน เด็กสาวก็เอ่ยปาก
“คือว่านะ……ฉัน……มีเรื่องที่ยังไงก็ต้องบอก……”
เธอพูดต่อ
เป็นตอนนั้นเอง…
…ที่เขาเห็นมันมาปรากฏอยู่ข้างๆเธอ
ชินจิรีบบอกมาโดกะว่าเจอวิญญาณร้ายแล้ว
พอได้ยินเช่นนั้นเธอก็ตกใจแล้วพยายามมองไปรอบๆ
ผีร้ายตรงหน้าส่งเสียงร้องประหลาด
มันจ้องมาทางพวกเขา
จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหา !
แย่แล้ว !
มาโดกะยังคงงงอยู่
เด็กหนุ่มจึงจูงมือเด็กสาวแล้วออกวิ่ง
เขาทิ้งจักรยานแล้ววิ่งอย่างสุดกำลัง
วิญญาณร้ายไล่ตามหลังมาติดๆ !
ทำไมกัน ! ที่ผ่านมามันแค่ลอยอยู่เฉยๆ
ไม่ทำอะไรแท้ๆ ทำไมจู่ๆถึงได้ไล่ตามมา !
เขาประมาทเกินไป ประเมินพวกมันต่ำเกินไป
“แฮ่กๆ เดี๋ยวสิ
อยู่ๆให้มาวิ่งแบบนี้กะทันหันแล้วมัน……” มาโดกะหายใจไม่ทัน
ชินจิหันกลับไปมองข้างหลังอีกครั้ง
ทว่า
คราวนี้วิญญาณร้ายกลับไม่อยู่แล้ว
“แฮ่ก……แฮ่ก……จู่ๆก็วิ่ง มีอะไรงั้นเหรอ……ตกอกตกใจหมดเลย” มาโดกะบ่น
เขาจึงอธิบายให้เธอฟังว่าวิญญาณร้ายไล่ตามมา
ถึงจะมองไม่เห็น แต่เด็กสาวก็มองไปรอบๆด้วยความไม่สบายใจ
เขาเลยบอกเธอว่าตอนนี้วิญญาณร้ายไม่อยู่แล้ว
“ไม่คิดเลยว่ามันจะไล่ตามมา โทษที
ที่ต้องให้มาเจอเรื่องแบบนี้……” เขาขอโทษมาโดกะ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษก็ได้” เธอบอก
“มาโดกะ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมวางมือลงบนไหล่ของเด็กสาว
“เอ๊ะ” เด็กสาวตกใจเล็กน้อย
“มาโดกะน่ะ ชั้นจะเป็นคนปกป้องเอง” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและจริงจัง
“อะ……อื้ม……” เด็กสาวหน้าแดงด้วยความเขินอาย
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ตัดสินใจกลับบ้านกัน
ขากลับชินจิบอกกับมาโดกะว่าจะล้มเลิกการตามหาวิญญาณร้ายเพียงเท่านี้เพราะรู้สึกว่ามันอันตราย
เขาแยกกับเธอหน้าบ้าน
ตอนที่นึกขึ้นมาได้ว่ามาโดกะเหมือนมีอะไรบางอย่างจะบอกกับเขานั้น
เธอก็เดินเข้าบ้านไปเรียบร้อยแล้ว
ช่างเถอะ เด็กหนุ่มคิด
ยังไงก็อยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว
ไว้เจอกันคราวหน้าค่อยถามก็ได้
คืนนั้นชินจิฝันร้าย
ฝันว่ามาโดกะถูกวิญญาณร้ายเล่นงาน
เป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก
“ทั้งๆที่บอกว่า……จะปกป้องฉันแท้ๆ……” มาโดกะในฝันกล่าวกับเขา
“คนโกหก……” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
พอได้ยินคำพูดนั้นเด็กหนุ่มก็สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก
วันต่อมา ไม่ว่าจะเวลาไหนเขาก็เผลอมองไปหามาโดกะโดยไม่รู้ตัว
รู้อยู่แล้วว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน
แต่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้
ในชั่วโมงเรียน มาโดกะหันมาทางเขาพอดี
ทั้งคู่สบตากัน
เด็กสาวโบกมือให้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะกลับไปเพ่งสมาธิกับบทเรียนต่อ
ส่วนทางเด็กหนุ่มนั้นรีบหันกลับไปหากระดานดำ
ก่อนจะรู้ตัวว่าตนหน้าแดงด้วยความเขินอาย
ตอนพักเที่ยงซาบาเอะที่นั่งข้างเขาถามเขาว่าคบกับมาโดกะอยู่เหรอ
เมื่อวานก็เห็นกลับบ้านด้วยกัน วันนี้ก็เห็นมองเธออยู่ตลอด
ตอนสบตากันก็หน้าแดงด้วย
ชินจิปฏิเสธไปเหมือนเช่นทุกครั้ง บอกว่าเขากับมาโดกะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน
“เพื่อนสมัยเด็กงั้นเหรอ…แล้วนั่นเป็นความสัมพันธ์แบบไหนกันนะ”
ซาบาเอะถามเขา
จากนั้นก็บอกว่าเมื่อไม่นานมานี้หลังได้ยินเรื่องของชินจิกับมาโดกะก็เพิ่งนึกออกว่าตนเองก็มีเพื่อนสมัยเด็กผู้หญิงด้วยคนนึง
แต่ก็ไม่ได้สนิทกันเป็นพิเศษอะไร แถมหลังขึ้น ป.4 แล้วก็ไม่ได้คุยกันเลย
“ทะเลาะกันเหรอ” ชินจิถาม
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นหรอก
แต่คิดว่าปกติแล้วเพื่อนสมัยเด็กก็เป็นความสัมพันธ์แบบนั้นล่ะ…กรณีปกติน่ะนะ” ซาบาเอะบอกกับเขา
“หืม……?”
เด็กหนุ่มเข้าใจเรื่องที่เพื่อนของเขาอยากจะบอกแล้ว
กล่าวคือความสัมพันธ์แบบเขากับมาโดกะไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยนัก
ปกติแล้วเพื่อนสมัยเด็กชายหญิง พอโตขึ้นก็จะห่างเหินกันไป
แต่สำหรับตัวเขาแล้ว
การห่างเหินกันไปนั้นฟังดูเป็นเรื่องแปลกมากกว่า
เขาอยู่ด้วยกันกับมาโดกะมาตั้งแต่เด็ก
ปัจจุบันเองก็สนิทกัน แล้วก็รู้สึกว่าหลังจากนี้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักกี่ปี
พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกัน
เฝ้าดูมาโดกะมาตลอดทั้งวัน
แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
ฝันร้ายไม่ว่าจะยังไง
สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ความฝัน
วิญญาณร้ายเองก็ไม่ได้พบเห็นบ่อยอะไรมากมาย
เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะเลิกใส่ใจกับมัน
ต่อให้มองเห็นก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ชินจิมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะแล้วเจอกับฮิเดโนริ
คุณฮิเดะถามเขาว่ากำลังตั้งใจปราบวิญญาณร้ายอยู่หรือเปล่า
เขาเลยบอกกับเพื่อนผู้โตกว่ามากไปว่าเขาไม่ใช่ฮีโร่หรืออะไร
อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นจึงบอกว่าตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่
แต่ชินจิมีคุณสมบัตินั้น
“ที่เมืองซากุระโนะโมริแห่งนี้มีฮีโร่อยู่จริงๆ” คุณฮิเดะกล่าวกับเขา นี่เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
แต่คราวนี้พอพูดจบ
คุณฮิเดะกลับหยิบหนังสือพิมพ์มาให้เขาดู
ในหนังสือพิมพ์มีข่าวพบศพชายถือมีดถูกฆ่าตาย
ศพชายถือมีด… หรือว่า !!!
เด็กหนุ่มตกใจ
แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร
คุณฮิเดะก็บอกกับเขาว่าต้องกลับแล้ว ถ้าไม่รีบกลับจะโดนนักสืบโกโรตะโกรธเอา
ยาสึกะ
ฮิเดโนริเดินจากไปทั้งๆอย่างนั้น
ทิ้งฟุคิงามิ ชินจิที่กำลังตกใจไว้เบื้องหลัง
คืนวันเสาร์ ชินจิคิดว่าจะส่งเมลไปหามาโดกะเหมือนทุกที
แต่วันนี้กลับรู้สึกเกร็งๆและสงบใจไม่ถูกยังไงไม่รู้
อีกฝ่ายคือมาโดกะแท้ๆ ที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เลย
---พรุ่งนี้ไปปั่นจักรยานด้วยกันไหม ?
เขาพิมพ์ ก่อนจะนึกได้ว่าจักรยานเสือหมอบของตนพังไปแล้ว
จึงรีบลบแล้วแก้ใหม่
---พรุ่งนี้จะเอายังไง ?
ชินจิส่งข้อความนั้นไป
มีข้อความตอบกลับมาทันที
มาโดกะตอบมาว่าพรุ่งนี้ต้องออกไปข้างนอกกับพ่อแม่
วันอาทิตย์ชินจิว่างเพราะจักรยานพังไปแล้ว
เพื่อนสมัยเด็กคู่หูก็ไม่อยู่
คุณน้ามิยาโกะถามเขาว่าหลังจากนี้เรื่องจักรยานจะเอายังไง
เขาตอบไปว่าไว้ขึ้นมัธยมปลายเมื่อไรจะทำงานพิเศษเก็บเงินซื้อ
คุณน้าเลยบอกกับเขาว่าจะให้ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดไหม
แต่ชินจิก็ปฏิเสธไป
“ถ้าไม่ไปปั่นจักรยาน
หมายความว่าวันนี้พี่ว่างเหรอคะ” ฮัตสึเนะจังถามเขาด้วยท่าทางดีใจ
“นั่นสินะ มาโดกะเองก็ออกไปกับครอบครัวด้วย”
พอเขาตอบไปเช่นนั้น
ไม่รู้ทำไมน้องสาวของเขาถึงได้ซึมไปเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้นฮัตสึเนะจังก็ชวนเขาไปซื้อของด้วยกัน
เด็กหนุ่มจึงตอบตกลงไปโดยที่ไม่คิดมากอะไร
หลังจากนั้นมิยาโกะก็มองส่งลูกสาวกับหลานชายของเธอที่ออกไปซื้อของด้วยกัน
พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของลูกสาวแล้ว
เธอก็คิดในใจว่าไม่อยากให้ชินจิมีจักรยานอีกเลย
วันนี้ฟุคิงามิ ฮัตสึเนะร่าเริงมาก
เธอดีใจมากเพราะไม่ได้ออกไปข้างนอกด้วยกันสองต่อสองกับพี่ชายมานานแล้ว
แม้ว่าเธอจะซึมไปเล็กน้อยเพราะประโยค “นั่นสินะ
มาโดกะเองก็ออกไปกับครอบครัวด้วย” แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พี่ชายของเธอจะให้ความสำคัญกับคุณมาโดกะมากกว่า
เธอเป็นลูกพี่ลูกน้อง และตามกฎหมายก็เป็นน้องสาวด้วย
ในสายตาของชินจิเธอเป็นแค่น้องสาว
ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจที่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองกับพี่ชาย
ทว่า
ระหว่างที่ซื้อของด้วยกัน ตอนที่เธอหยิบเสื้อผ้ามาเพื่อถามความเห็นจากพี่ชาย
ภาพที่เด็กหญิงเห็นคือพี่ชายของเธอกำลังมองกระโปรงตัวที่ท่าทางเข้ากับคุณมาโดกะอยู่ด้วยความสนใจ
เธอจึงซึมไปในทันที
ไม่ว่าเมื่อไร
ในหัวของพี่ชายของเธอก็มีแต่เรื่องของคุณมาโดกะ
รู้อยู่แล้ว ทั้งๆที่รู้มานานแล้ว แต่พอได้มาเห็นตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทรมานใจ
นั่นเป็นเพราะว่าเธอเองก็…
ตอนเย็น มาโดกะมาบ้านเขา
เธอนำขนมมาให้ บอกว่าเป็นขนมลูกเจี๊ยบ
ของฝากขึ้นชื่อของโตเกียว
จากนั้นเพราะเห็นว่าพวกชินจิกำลังทานข้าวกันอยู่
มาโดกะจึงรีบกลับไปทันที
เขารีบตามออกไป
ตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าฮัตสึเนะจังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่มีความรู้สึกซับซ้อนแฝงอยู่
“ที่บอกว่าเป็นขนมขึ้นชื่อของโตเกียวเนี่ย
วันนี้ไปโตเกียวมางั้นเหรอ ?” เด็กหนุ่มถาม
“อื้อ” เธอตอบ
“……ไปทำอะไรเหรอ” เขาถามต่อด้วยความสงสัย
ไม่น่าจะใช่ไปเที่ยว
เพราะวันเดียวกลับมันดูรีบเกินไปหน่อย ชินจิคิดในใจ
“อืม……เรื่องนั้นไว้เดี๋ยวค่อยเล่าทีหลัง” เด็กสาวตัดบทแล้วเดินเข้าบ้านของตัวเองไป
จะว่าไปในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ
มาโดกะก็มาที่บ้านเขาเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูด
ก่อนหน้านี้ที่สวนสาธารณะเองก็ด้วย
ไม่ผิดแน่ มาโดกะมีเรื่องสำคัญจะบอกกับเขา
หลังทานข้าวเสร็จเด็กหนุ่มรีบกลับไปที่ห้อง แล้วเรียกเพื่อนสมัยเด็กของตนจากทางหน้าต่าง
เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
พอเปิดหน้าต่างมาคุยกัน
อีกฝ่ายก็พูดเรื่องของฝากที่เธอนำมาให้ แต่เด็กหนุ่มกลับถามเธอไปตรงๆ
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ ช่วยเล่าให้ฟังที” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและตรงเข้าประเด็นแบบที่ไม่ยอมให้หลบเลี่ยงได้
เด็กสาวจึงพูดออกไปตามตรง
“ชั้นจะต้องย้ายบ้านแล้วน่ะ” เธอบอก
“เอ๊ะ……? ย้ายบ้าน ?” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจในคำพูดของเด็กสาว
“ใช่แล้วล่ะ” เด็กสาวยืนยันในคำพูดของเธอว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป
เธอเล่าให้ฟังว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนพ่อของเธอถูกบริษัทย้ายมาทำงานที่เมืองซากุระโนะโมริ
แล้วตอนนี้ก็กำลังจะถูกย้ายไปโตเกียว วันนี้ที่ไปโตเกียวเองก็เพื่อไปดูบ้าน
“……ที่บอกว่าย้ายบ้านเนี่ย……จะกลับมาเมื่อไรเหรอ ?” เด็กหนุ่มพยายามมองโลกในแง่ดี
“นั่นสินะ……ไม่รู้สิ
อย่างบ้านหลังนี้เองก็อาศัยมาสิบปีแล้วด้วยสิ”
คำพูดของเด็กสาวได้บดขยี้ความหวังของเด็กหนุ่ม
และเป็นตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจได้
ว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว
ทีแรกเขาเข้าใจว่ามาโดกะแค่ซื้อตั๋วรถไฟไปกลับโตเกียว
และจะกลับมาที่นี่ในสักวันหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะ…
“ที่ผ่านมา ชั้น……เคยรู้สึกว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับมาโดกะตลอดไป” เด็กหนุ่มพูดออกไป
“ฉันเองก็เหมือนกัน คิดว่าจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอด……ปั่นจักรยานด้วยกันตลอดบ้าง อะไรบ้าง……” เด็กสาวเองก็คิดเช่นเดียวกับเขา
เขาตั้งใจว่าถ้าขึ้นมัธยมปลายเมื่อไรจะทำงานพิเศษเก็บเงินซื้อจักรยาน
เพื่อจะได้มาวิ่งเคียงข้างเธออีก
แต่นั่นไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว
ถ้าไม่มีเธอ เขาก็ไม่มีใจจะขี่จักรยาน
มาโดกะจะไม่อยู่แล้ว
พอรู้เรื่องนั้น
ในเวลาเดียวกันเด็กหนุ่มก็เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในอกเมื่อไม่นานมานี้
คำตอบนั้นง่ายมาก
เขาชอบเธอ
ฟุคิงามิ ชินจิชอบอาคิสึ มาโดกะ
อาจเป็นเพราะระยะห่างที่ใกล้ชิดกันเกินไป ที่ผ่านมาเขาเลยไม่เคยสังเกตเห็นความรู้สึกนี้ของตนเอง
เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจ
“มาปั่นจักรยานด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายกันเถอะ”
เขาบอกกับเพื่อนสมัยเด็กที่คบหากันมานานปี
แม้จะมีแค่จักรยานแม่บ้านก็ไม่เป็นไร
“อื้อ เอาสิ”
เด็กสาวตรงหน้าตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
หลังคุยกับเด็กสาวจบ เด็กหนุ่มก็ทะยานออกมาจากบ้าน
ออกวิ่งอย่างไร้จุดหมาย
ตอนนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้นมันเปราะบางแค่ไหน
พ่อกับแม่ของเขาด่วนจากไป
วิญญาณร้ายปรากฏตัวออกมาให้เห็น
แล้วแม้แต่เพื่อนสมัยเด็กที่คิดว่าจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดก็กำลังหายไปจากชีวิต…
จะทำยังไงกับความรู้สึกที่ไม่มีที่ระบายนี้ดี
“อ๊าาาาาาาาาา”
เสียงตะโกนด้วยความทุกข์ใจของฟุคิงามิ
ชินจิดังลั่นกลางราตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น