Prologue (Part 5) : ความรู้สึกที่สื่อถึงกัน
คืนนั้นฟุคิงามิ ชินจิไม่ได้นอน เขาตื่นอยู่จนถึงเช้า
ตอนเช้า ฮัตสึเนะมาปลุกพี่ชายของเธอแล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่าเขาตื่นอยู่ก่อนแล้ว
แต่ที่ทำให้เด็กหญิงตกใจมากไปกว่านั้นคือท่าทางหมดอาลัยตายอยากของพี่ชายของเธอ
หลังจากนั้นก็เดินไปโรงเรียนด้วยกันสามคนเหมือนเช่นทุกครั้ง
ทว่า เช้านี้ท่าทางของพี่ชายกับคุณมาโดกะดูแปลกไป
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป
หน้าต่างห้องของพี่ชายกับห้องของคุณมาโดกะหันเข้าหากัน
เมื่อคืนทั้งคู่คงจะคุยอะไรกัน
ชินจิมีท่าทางหมดอาลัยตายอยากอยู่ตลอดช่วงเช้า
จนตอนมื้อเที่ยงซาบาเอะมาทักเขาว่ามีแววตาเหมือนปลาตาย
เด็กหนุ่มจึงบอกเรื่องที่มาโดกะจะย้ายบ้านให้เพื่อนของเขาฟัง
ซาบาเอะเลยล้อเขาว่าแอบชอบมาโดกะอยู่เหรอถึงได้ซึมขนาดนี้
ทว่า คราวนี้…
“เพิ่งมารู้ตัวเมื่อวานน่ะ ที่ผ่านมา……ไม่รู้ตัวมาก่อนเลย”
ฟุคิงามิ ชินจิกลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตนชอบอาคิสึ
มาโดกะ
ซาบาเอะแปลกใจที่คราวนี้ชินจิยอมรับออกมาตามตรง
จากนั้นก็ปลอบเพื่อนสนิทของตนว่าไม่เห็นต้องซึมขนาดนั้นเลย แค่ระยะทางไกลขึ้น แต่ก็ยังสามารถเจอหน้ากันได้อยู่
ใช่ว่าจะจากกันไปตลอดกาล
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของซาบาเอะ ชินจิก็คิดได้
ใช่แล้ว ไม่เหมือนกับกรณีพ่อแม่ของเขา ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถพบหน้าเธอได้อีกตลอดไป
อยู่แค่โตเกียว จะไปหาเมื่อไรก็ได้ในเวลาที่อยากไป
พอคิดแบบนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกร่าเริงขึ้นมาทันที
ชินจิรู้สึกขอบคุณเพื่อนของตนเป็นอย่างมาก ซาบาเอะเลยขอกับข้าวฝีมือคุณมิยาโกะชิ้นนึงเป็นค่าตอบแทน
เขาเลยยื่นปิ่นโตให้ทั้งกล่อง
พร้อมบอกว่าทานไปเลยเท่าที่อยากทาน
หลังเลิกเรียนวันนั้น มาโดกะคุยกับเพื่อนผู้หญิงอยู่
ชินจิชวนเธอกลับบ้านด้วยกัน
มาโดกะตอบตกลง
เธอไม่จำเป็นต้องไปเข้าชมรมแล้วเลยกลับด้วยกันได้
เพื่อนสมัยเด็กของเขาบอกเรื่องที่เธอจะย้ายบ้านกับเพื่อนที่สนิทกัน, ครู และที่ปรึกษาชมรมไปแล้ว
“แต่ทำเอาตกใจนิดหน่อยเลยนะ
ตอนอยู่ในห้องเรียนชินจิแทบไม่เคยทักมาเลยด้วย” เธอบอกกับเขาหลังแยกกับเพื่อนแล้ว
จากนั้นเด็กสาวก็ทักเขาว่าสีหน้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามาก
เย็นวันนั้นคุณน้ามิยาโกะเองก็ทักเขาว่าสีหน้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามาก
เขาเลยเล่าเรื่องที่มาโดกะจะย้ายบ้านให้คุณน้าและฮัตสึเนะจังฟัง
“เมื่อเช้าเลยไม่ร่าเริงเพราะเรื่องนั้นเหรอ” คุณน้ามิยาโกะถาม
“ครับ แต่ก็นึกได้น่ะครับ แค่ย้ายบ้านไป
ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วซะหน่อย……” ชินจิพูดความคิดของเขาออกมา
“…………” ฮัตสึเนะจังฟังอย่างเงียบๆ
“พอรู้เรื่องนั้นก็ร่าเริงขึ้นมาได้เลยน่ะครับ” เขาพูดต่อจนจบ
“นั่นสินะ……” คุณน้าของเขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังระลึกความหลัง
บางทีเธอคงจะนึกถึงอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่พรากชีวิตพ่อแม่ของเขาไป
คืนนั้นชินจิคุยกับเพื่อนสมัยเด็กของเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง
ดูเหมือนบ้านใหม่ของเธอจะไม่ใช่บ้านเดี่ยวแต่เป็นคอนโด และเธอก็กำลังกังวลอยู่ว่าจะเข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนใหม่ได้หรือเปล่า
เขารู้สึกไม่สบายใจที่เพื่อนสมัยเด็กจะไม่อยู่แล้วก็จริง
แต่ก็แค่นั้น ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกซะหน่อย
ทางมาโดกะที่ต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่มีเรื่องให้กังวลมากกว่าเขาเยอะ
เขาจึงพยายามช่วยขจัดความไม่สบายใจของเด็กสาวออกไปให้ได้มากที่สุด
ระหว่างที่คุยกัน ในหัวของเด็กหนุ่มก็นึกถึงคำๆหนึ่ง
‘ความรักทางไกล’
ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดผ่านหน้าต่างแบบนี้
เขาจะบอกกับเธอตรงๆด้วยตัวเอง
เช้าวันเสาร์
ครูที่ปรึกษาแจ้งในชั้นเรียนว่ามาโดกะจะต้องย้ายโรงเรียน
มาโดกะกล่าวลาเพื่อนร่วมชั้น
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนซากุระงาโอกะค่ะ
ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนในโตเกียว”
“แม้จะเป็นเวลาสั้นๆเพียงแค่หนึ่งปีกับอีกเล็กน้อย
แต่เรื่องที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนซากุระงาโอกะกับทุกคน
ฉันจะไม่ลืมไปชั่วชีวิตเลยค่ะ”
“ทุกๆคน ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาจนถึงวันนี้นะคะ”
ใช่แล้ว พรุ่งนี้มาโดกะจะออกไปจากเมืองซากุระโนะโมริ
วันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่เขากับเธอจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
เธอจะไปปั่นจักรยานกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย
สถานที่คือหนองน้ำที่ใส่ราวกับทะเลสาบแห่งนั้นซึ่งรู้จักกันแค่สองคน
โรงเรียนซากุระงาโอกะเป็นโรงเรียนที่มีทั้งชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย
เวลาหนึ่งปีจึงถือว่าสั้น
แต่ก็นานพอที่จะสร้างความผูกพันกับเพื่อนหรือคนรู้จัก
ทุกครั้งที่ถึงเวลาพักจะมีเพื่อนๆมาบอกลามาโดกะ
เมื่อกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น เด็กหนุ่มก็ตระหนัก
ว่าช่วงเวลาที่จะได้เรียนที่เดียวกันกับเด็กสาวนั้นได้จบลงแล้ว
เขาและเธอนัดเจอกับฮัตสึเนะจังหน้าโรงเรียน
จากนั้นก็ไปทานข้าวเที่ยงฝีมือคุณมิยาโกะด้วยกัน
ฮัตสึเนะจังบอกกับมาโดกะว่าเธอคงจะรู้สึกเหงา
เพราะที่ผ่านเธอคิดว่ามาโดกะเป็นเหมือนพี่สาวคนหนึ่งมาตลอด
แล้วหลังจากทานข้าวเสร็จ…
…เขากับเธอก็ไปปั่นจักรยานด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย
ภาพเด็กหนุ่มในชุดขี่จักรยานเต็มยศบนจักรยานแม่บ้านนั้นดูขัดกันเป็นอย่างมาก
แต่แม้จะเหลือแค่จักรยานแม่บ้าน เขาก็จะไปให้ถึง
แล้วบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป
จักรยานแม่บ้านกับจักรยานเสือหมอบแล่นอยู่บนถนนเดียวกัน
มาโดกะบอกกับเขาว่านานๆทีขี่จักรยานด้วยกันสบายๆไม่รีบร้อนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ชินจิเองก็คิดแบบเดียวกัน
ที่ผ่านมาเขาเคยคิดว่าเธอเป็นคู่แข่ง แต่ตอนนี้ไม่แล้ว อีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิง
ดีแล้วที่เลิกปั่นจักรยานแข่งกันราวกับคนบ้าได้
จักรยานแม่บ้านนั้นหนักและต้องใช้แรงในการปั่นเยอะกว่าจักรยานเสือหมอบมาก
เด็กหนุ่มเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ จนขาแทบจะแตะพื้น
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้
“ชินจิเองก็ชอบจักรยานเอามากจริงๆเลยนะ” มาโดกะพูด
“จริงๆแล้วเป็นยังไงกันแน่นะ……” เขาตอบกลับไป
“หืม ?” เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
และแล้วพวกเขาก็มาถึงหนองน้ำ
ฟุคิงามิ ชินจิทนปั่นจักรยานแม่บ้านมาถึงหนองน้ำได้โดยที่ขาไม่แตะพื้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มาโดกะตะลึงในความพยายามของชินจิ
ทั้งคู่พักเหนื่อยกันอยู่ครู่หนึ่ง
“นี่------” “เอ่อ------”
ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาพร้อมๆกัน
เขาเลยให้เธอพูดก่อน
“จักรยานเสือหมอบของฉัน……เป็นจักรยานสำหรับผู้หญิงก็จริง……แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไรจะช่วยรับไว้ได้ไหม” มาโดกะพูด
ชินจิเลยถามเธอว่าถ้ายกจักรยานให้เขา
แล้วตอนไปโตเกียวจะทำยังไง ซื้อคันใหม่เหรอ
เด็กสาวจึงตอบกลับไปว่าถ้าไปโตเกียวเธอคงจะไม่ขี่จักรยานแล้ว
พอไม่มีเขาอยู่ เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจจะขี่
“ชั้นเองก็เหมือนกัน” เด็กหนุ่มกล่าวกับเด็กสาว
“หืม……?” เพื่อนสมัยเด็กของเขาแสดงท่าทีประหลาดใจออกมา
ชินจิบอกกับมาโดกะว่าถ้าไม่มีเธออยู่ เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะขี่จักรยานเหมือนกัน
พอได้ยินคำพูดนั้น
อาคิสึ มาโดกะก็หน้าแดง
“งั้นเหรอ……”
เด็กสาวเอ่ย
ดวงตะวันคล้อยต่ำลง ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีอัสดง
มาโดกะพูดเรื่องของเธอจบแล้ว
ต่อไปก็เป็นตาของเขา
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเตรียมใจ
“มาโดกะ……ชั้นชอบมาโดกะ”
ฟุคิงามิ ชินจิพูดความในใจออกไป
“แบบที่เด็กผู้ชายชอบเด็กผู้หญิง……”
เขากล่าวประโยคที่เหลือต่อจนจบ
อาคิสึ
มาโดกะแสดงสีหน้าตกใจออกมา…
…ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่งดงามมาก
“……งั้นหรอกเหรอ ดีใจจัง” มาโดกะพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม
“……คิดว่าจะตกใจกว่านี้ซะอีก” ชินจิแปลกใจเล็กน้อย
“ก็ตกใจพอสมควรแล้วนา ? ที่มีเด็กผู้ชายมาบอกรัก นี่เองก็เป็นครั้งแรกด้วย……” เด็กสาวบอกกับเขา
“แต่เพราะคิดว่า…ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงจะดีน้า~ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วน่ะ……เลยไม่ค่อยตกใจเท่าไร” เธอพูดต่อ
คำพูดนั้นของเด็กสาวได้กลายไปเป็นคำตอบให้กับเด็กหนุ่ม
“เอ๊ะ งั้นหรอกเหรอ……ตั้งแต่ก่อนหน้านี้เหรอ……?” เขาตกใจ
“ใช่แล้วล่ะ” เด็กสาวยืนยันในคำตอบของเธอ
“……ชั้นเพิ่งมารู้สึกตัวเมื่อเร็วๆนี้เอง” เขาบอกกับเธอ
“อายุเท่ากันก็จริง
แต่อาจเป็นเพราะการเจริญเติบโตของเด็กผู้หญิงเร็วกว่านิดหน่อยก็ได้นะ” มาโดกะชี้
“อืม……”
ทางเด็กผู้หญิงอาจจะรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิงได้เร็วกว่าก็เป็นได้
อย่างเขายังคิดว่าเธอเป็นคู่แข่งมาจนถึงเมื่อเร็วๆนี้อยู่เลย
“อยากจะบอกไว้ก่อนที่มาโดกะจะย้ายบ้านน่ะ
เพราะรู้สึกว่าถ้าทำแบบนั้นแล้ว……จะได้เจอกันอีกแน่ๆ” ชินจิบอกกับเพื่อนสมัยเด็กของเขา
“สรุปคือ……ขอแค่เป็นแฟนกันก็จะได้พบกันอีก ?” เด็กสาวหน้าแดง
“ใช่แล้วล่ะ……ขอแค่เป็นแฟนกัน” เด็กหนุ่มเองก็พูดออกไปอย่างเขินอาย
“อื้ม……นั่นสินะ ฉันเอง
ถ้ามีแฟนอยู่ล่ะก็คงมาที่เมืองนี้บ่อยๆ” เธอพูดกับเขา
“อา ชั้นเองก็จะไปหาที่นั่นด้วย” เขาเองก็ตอบกลับไปด้วยคำตอบแบบเดียวกัน
มาโดกะจ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่แดงเพราะความเขินอาย
“แต่……รู้สึกว่าถ้าแค่สารภาพรักเฉยๆจะไม่กลายเป็นแฟนกัน” เธอพูด
จากนั้นเด็กสาวก็หลับตาลง
เด็กหนุ่มตกใจกับการกระทำของเธออยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะจับไหล่ของเธอ
แล้วก็…
เด็กหนุ่มจุมพิตกับเด็กสาวท่ามกลางทะเลสาบที่ย้อมไปด้วยสีอัสดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น