Prologue (Part 3) : ลางร้าย
ชินจิหันกลับไปมองข้างหลัง
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเขาคือร่างของหญิงสาวที่นอนจมกองเลือด
เขารีบโทรเรียกรถพยาบาล
ระหว่างที่คุยกับปลายสาย เขาก็คิด
รถพยาบาลอาจจะไม่จำเป็นแล้วก็ได้
เพราะคอของหญิงสาวบิดไปในทิศทางที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ดูยังไงก็ไม่น่าจะ…
หลังจากนั้นตำรวจก็ขอร้องให้เขาไปให้ปากคำที่สถานี แต่เพราะเขายังเป็นผู้เยาว์ คุณน้ามิยาโกะเลยต้องมาด้วย
“ขอโทษครับที่ต้องให้เลิกงานมา” พอสอบปากคำเสร็จแล้วออกมาข้างนอก เขาก็ขอโทษคุณมิยาโกะทันที
“พูดอะไรอยู่น่ะ…” คุณน้าหน้าเปลี่ยนสี
“…ชินจิคุง ฉันเป็นตัวแทนแม่ของเธอนะ ไม่เห็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้นเลย” เธอกล่าวกับหลานชายอย่างอ่อนโยน
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับบ้านด้วยกัน คุณน้าบอกกับเขาว่าอย่าเอาเรื่องอุบัติเหตุนี้ไปเล่าให้ฮัตสึเนะหรือเพื่อนที่โรงเรียนฟังจะดีกว่า
เย็นวันนั้นมีรายงานข่าวบนโทรทัศน์ว่ามีหญิงสาวเสียชีวิตจากคดีชนแล้วหนี
หลังไปส่งคุณน้ากับฮัตสึเนะจังที่คอนโดแล้ว เขารู้สึกไม่ดีเลยตั้งใจว่าจะรีบเข้านอน
แต่ก่อนนอนไม่รู้ทำไมถึงได้อยากเห็นหน้ามาโดกะขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ชินจิจึงเปิดหน้าต่างคุยกับเธอ
“เอ๊ะ……ใส่ชุดนอนแล้วเหรอ” เพื่อนสมัยเด็กของเขาทัก
“อา……ตั้งใจว่าจะรีบนอนน่ะ”
“แปลกจังเลยนะ ทำไมเหรอ ?” มาโดกะถามเขาด้วยความสงสัย
เขาได้แต่เงียบ
“หืม ไม่ค่อยสบายเหรอ ? ดูสีหน้าไม่ดียังไงไม่รู้” เธอพูดด้วยความเป็นห่วง
เขาส่ายหน้า
“ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ฉันจะไปช่วยดูแลให้”
พอได้ยินคำพูดนั้น ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
ชินจิตัดสินใจระบายเรื่องที่ประสบมาวันนี้ให้มาโดกะฟัง
แม้จะเป็นการผิดสัญญากับคุณน้ามิยาโกะ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นมาโดกะคงจะไม่เป็นไร แล้วพอได้ระบายออกไปก็รู้สึกโล่งขึ้นนิดหน่อยด้วย
หลังบอกราตรีสวัสดิ์กับเธอแล้ว เขาก็นึกย้อนไปถึงคำพูดเมื่อครู่ของมาโดกะ
“ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ฉันจะไปช่วยดูแลให้”
เพื่อนสมัยเด็กของเขาเองก็อ่อนโยนพอสมควร ชินจิคิด
ทำไมกันนะ ที่ผ่านมาไม่เคยแม้แต่จะครุ่นคิดเรื่องพรรคนี้แท้ๆ
ตัวเขาคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ
เช้าวันต่อมามีข่าวว่าจับคนร้ายได้แล้ว
ทว่า ที่น่าขนลุกคือผู้ต้องหาให้การกับตำรวจว่า “จู่ๆก็เกิดอยากขับรถทับคนขึ้นมา”
วันอาทิตย์วันหนึ่ง อาคิสึ มาโดกะนอนกุมท้องด้วยความเจ็บปวดอยู่บนเตียง
ตามจริงวันนี้เธอมีนัดไปปั่นจักรยานด้วยกันกับชินจิ เพื่อนสมัยเด็กของเธอ
ทว่า เพราะ “วันนั้นของเดือน” เธอเลยไปไม่ได้ ต้องยกเลิกกะทันหัน
มาโดกะรู้สึกอิจฉาเพื่อนสมัยเด็กของเธอที่ไม่ต้องมาปวดแบบนี้ทุกเดือน
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็สามารถทำด้วยกันกับชินจิได้
แต่หลังจากนี้ไปคงจะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว……
พอคิดแบบนั้นก็รู้สึกเหงาขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่รู้สึกเศร้าเลย
ก๊อกๆ แม่ของเธอเคาะประตูพร้อมกับส่งเสียงเรียก
จากนั้นก็บอกกับเธอว่ามีเรื่องสำคัญต้องคุย ให้ลงมาข้างล่าง
เธอลากสังขารลงบันไดมา
พ่อกับแม่ของเธอนั่งเรียงกันอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก บรรยากาศของทั้งคู่ดูแปลกๆยังไงไม่รู้
เธอนั่งลงบนเก้าอี้
“มาโดกะ…คือว่านะ…จะต้องย้ายบ้านน่ะ” พ่อของเธอพูดขึ้น
“เอ๊ะ…ย้ายบ้าน……?” อาคิสึ มาโดกะงุนงง
เด็กสาวไม่เข้าใจความหมายนั้น
อีกด้านหนึ่ง ฟุคิงามิ ชินจิได้ปั่นจักรยานมาจนถึงสวนสาธารณะบนเนิน
ไม่ได้จับเวลาก็จริง แต่คงจะช้ากว่าคราวก่อนที่มาเยอะ
พอไม่มีเด็กสาวที่เป็นคู่แข่งมาวิ่งอยู่เคียงข้างแล้วเขาก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะปั่นเท่าไรนัก
ความรู้สึกสดชื่นสบายใจเวลาที่มาถึงจุดหมายเอง พอเหลือตัวคนเดียวแล้วก็ด้อยค่าลงไป
เขาเอนกายลงเพื่อพักเหนื่อย
ก่อนจะเผลอหลับไป
…
…
…
“ยะ……แย่แล้ว”
ตอนที่เขาขี่จักรยานกลับบ้านนั้นเป็นเวลาที่ดวงตะวันคล้อยต่ำลงแล้ว
และตอนนี้เขากำลังถูกใครบางคนไล่ตามอยู่
ไม่รู้ว่าเป็นใคร
แต่เป็นคนที่น่ากลัวมาก
ถ้าโดนไล่ทันจะต้องถูกฆ่าแน่ๆ
ทว่า ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะเร่งความเร็วเท่าไรก็สลัดไม่พ้น อีกฝ่ายไล่ตามหลังมาติดๆ
แล้วก็มาถึงโค้งอันตราย
ตรงนี้ต่อให้รีบยังไงก็ต้องเบรก ถ้าไม่เบรกจะเลี้ยวไม่พ้นโค้ง
ถึงจะร้อนรนแต่เขาก็กดเบรกอย่างระมัดระวัง
ทว่า
ความเร็วกลับไม่ลดลง
ความรู้สึกที่ว่าสายเบรกขาดได้ส่งมาถึงมือ
จักรยานยังคงพุ่งต่อไปด้วยความเร็ว
“เหวออออออ” เด็กหนุ่มตะโกนร้องลั่น
สัมผัสได้ถึงแรงปะทะรุนแรง
ฟุคิงามิ ชินจิรู้สึกว่าร่างของตนลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะหมดสติไป
“……อึก……” เขาลืมตาขึ้น
ชินจิสำรวจร่างกายตนเองทั้งที่ยังรู้สึกมึนๆที่หัว
โชคดีที่นอกจากเจ็บศีรษะเล็กน้อยแล้วร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ
ตกจากความสูงขนาดนั้นแต่ยังรอดชีวิตมาได้ คิดได้แค่ว่าเป็นปาฏิหาริย์
พอมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นแสงจากไฟหน้าของจักรยาน
ดูเหมือนตอนที่ร่วงลงมา จักรยานของเขาจะไปเกี่ยวเข้ากับต้นไม้เลยรอดมาได้
ในที่สุดสายตาก็เริ่มชินกับความมืด
เด็กหนุ่มจึงมองสำรวจรอบข้าง
แล้วก็……
หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น
มีเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่ตรงนั้น
หรือควรจะเรียกว่าเป็น “ร่าง” ของเด็กสาวดี
“อะ……เอ่อ……ฮัลโหลๆ ?” เขาลองส่งเสียงทัก
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมา ดวงตาสองคู่ก็ไม่ฉายแววว่ามีชีวิต
เบื้องหน้าของเขาคือศพแน่นอน
ตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก พอผ่านไปแค่หนึ่งคืนรอบข้างก็เหม็นตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นศพ
โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีกลิ่นนั้น
ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดี
ทีแรกเขาคิดว่าเด็กสาวคงจะร่วงลงมาเหมือนเขา ทว่า พอลองสังเกตดูดีๆ ชุดที่เธอใส่อยู่ไม่ใช่ชุดขี่จักรยานหรือชุดปีนเขา แต่เป็นชุดธรรมดา
น่าแปลก
แล้วบริเวณท้องของเด็กสาวก็มีของเหลวสีดำปริมาณมาก มันคืออะไรกันนะ
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากเป้แล้วใช้แสงไฟจากโทรศัพท์ส่องดู
“อึก” ในที่สุดเขาก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของของเหลวนั้น
นอกจากตรงท้องแล้วก็ไม่มีบาดแผลที่อื่นอีก
ถ้าร่วงลงมาจากความสูงขนาดนั้น จะเป็นไปได้หรือที่จะมีบาดแผลแค่ที่ท้องที่เดียว แล้วยังมีเรื่องชุดที่เธอใส่อีก
ในขณะที่กำลังคิด ในที่สุดเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าจะยังไงก็ควรใช้โทรศัพท์ในมือแจ้งตำรวจก่อน
จากนั้นเขาก็ถูกตำรวจขอร้องให้ไปให้ปากคำที่สถานีอีกครั้ง
คุณมิยาโกะเองก็ต้องมาด้วยในฐานะผู้ปกครอง
เขาได้รับการตรวจเช็คร่างกายแล้ว โชคดีที่ไม่มีที่ไหนผิดปกติ แต่หมอบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปตรวจโดยละเอียดที่โรงพยาบาลอีกรอบ
ส่วนจักรยานนั้น ตำรวจช่วยเก็บคืนมาให้ก็จริง แต่ก็พังจนใช้งานไม่ได้แล้ว
เรื่องคดี
เด็กสาวคงจะถูกใครบางคนฆ่าตาย แต่ตำรวจไม่ยอมบอกข้อมูลอะไรเขาทั้งสิ้น
ส่วนเรื่องที่เขาถูกใครบางคนไล่ตามจนตกหน้าผานั้น เล่าให้ตำรวจฟังแล้วก็จริงแต่มันดูคลุมเครือเกินไป ไม่รู้ว่าถูกใครตาม รู้แค่ว่าเป็นคนที่น่ากลัวมากๆ รายละเอียดดูไม่ชัดเจน ตำรวจเลยหมดความสนใจไป
“พี่คะ !” พอออกมานอกสถานีตำรวจ ฮัตสึเนะจังก็วิ่งเข้ามากอดแน่น
มาโดกะเองก็มาด้วย
ไม่รู้ทำไม ดูเหมือนมาโดกะจะตกใจกับปฏิกิริยาของฮัตสึเนะจังเล็กน้อย
คุณน้ามิยาโกะบอกว่าตอนที่มีโทรศัพท์มาจากตำรวจ มาโดกะก็อยู่ด้วย เธอเลยมาด้วยกัน
“อ๊ะ……ขะ ขอโทษค่ะ……” ฮัตสึเนะจังรีบผละออกไป
เขาบอกไปว่าไม่เป็นไร
แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่าที่เธอเกรงใจจนต้องรีบผละออกไปนั้นไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นมาโดกะ
มาโดกะถามด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง
เธอตกใจมากที่สายเบรกใหม่เอี่ยมขาด ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนสายเบรกพลาดด้วยเพราะคราวก่อนก็ยังใช้ได้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ
เลยนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าอาจจะมีใครบางคนจงใจทำให้มันขาดตอนที่เขาเผลอหลับไป
แล้วเขาก็เล่าเรื่องที่ถูกใครบางคนไล่ตามให้ฟัง
“ถูกใครบางคน…… ? ” มาโดกะตกใจ
“ไล่ตาม ?” ฮัตสึเนะจังเองก็เช่นกัน
“ใครกันล่ะ ? ไม่สิ ใช้จักรยานไล่ตามมาเหรอ ?” มาโดกะพูด
เพราะคำพูดนั้นของมาโดกะ เขาถึงเพิ่งรู้ตัว
ใช่แล้ว ถ้าจะไล่ตามเขาที่ขี่จักรยานเสือหมอบอยู่ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องเป็นจักรยานเสือหมอบเหมือนกัน
ทั้งเรื่องใครบางคนที่ไล่ตามเขา ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายเร็วจนไล่กวดเขามาติดๆได้ ทุกอย่างฟังดูคลุมเครือเกินไป
พอรวมเรื่องที่ต้องมาเห็นศพที่ตายอย่างสยดสยองติดกันถึงสองครั้งในเวลาสั้นๆ ฟุคิงามิ ชินจิก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนได้ย่างเท้าเข้าไปในโลกแห่งความผิดเพี้ยนยังไงอย่างนั้น
เดินมาถึงหน้าบ้าน ได้เวลาต้องแยกกัน
ชินจิถามสาเหตุที่มาโดกะมาบ้านเขา
คุณน้าเลยบอกว่าที่มาโดกะจังมาเพราะเห็นมีเรื่องจะพูดกับเขา
แต่มาโดกะกลับบอกว่าวันนี้เขาคงจะเหนื่อยแล้ว ไว้วันหลังละกัน
คืนนั้นเขาอาบน้ำแล้วก็เข้านอนทันทีเพราะความเหนื่อยล้า
เช้าวันต่อมา ฮัตสึเนะจังมาปลุกเขาเหมือนเช่นเคย
วันนี้เขาหยุดเรียนเพราะต้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
ก่อนออกจากบ้านมีรายงานข่าวเมื่อวาน
ข่าวรายงานว่าผู้เสียชีวิตคือคิซากิ ยูริกะ เป็นนักเรียนหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่อาศัยอยู่ในเมืองซากุระโนะโมริ ที่ท้องของเธอมีแผลถูกแทงด้วยของมีคมจึงเชื่อกันว่าเป็นคดีฆาตกรรมและตำรวจกำลังออกสืบสวนอยู่
อย่างที่คิด เป็นคดีฆาตกรรมจริงๆด้วย
หลังจากนั้นพอมาโดกะกับฮัตสึเนะไปโรงเรียนแล้ว คุณน้ามิยาโกะก็พาเขาไปโรงพยาบาล
ระหว่างทางคุณน้ามิยาโกะถามเขาว่าคิดยังไงกับมาโดกะ เขาแอบชอบเธออยู่หรือเปล่า
ชินจิแปลกใจกับคำถามนั้น แล้วตอบไปตามตรงว่าไม่เคยคิดมาก่อนเลย
ใช่แล้ว เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย
ผลการตรวจร่างกายบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
หลังตรวจร่างกายเสร็จ คุณน้ามิยาโกะก็ขอแยกตัวไปซื้อของสำหรับทำข้าวกลางวันให้เขาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
ฟุคิงามิ ชินจิจึงเดินกลับบ้านคนเดียว
และเป็นตอนนั้นเอง…
…ที่เขาได้เห็นมัน
ที่ปรากฏแก่สายตาของชินจิคือสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนก้อนโคลนเละๆ
ภาพในอดีตแวบเข้ามาในหัวเขา
ไม่ผิดแน่
เด็กหนุ่มรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ
มันคือสิ่งเดียวกับที่เขาเคยเห็นตอนเสี้ยววินาทีก่อนเครื่องบินตก
บัดนี้เงาประหลาดที่เขาเคยเห็นลางๆได้กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
ควับ !
สัตว์ประหลาดหันมาทางเขา
มันจ้องมองมาด้วยศีรษะที่เหมือนกับก้อนโคลนเละๆที่แยกไม่ออกมาว่าตรงไหนคือตา ตรงไหนคือจมูก
ชินจิตัวสั่นด้วยความกลัว
ในตอนนั้นเองคุณน้ามิยาโกะเดินออกมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตฝั่งตรงข้ามพร้อมถุงกับข้าว
เธอมองมาทางเขาแล้วยิ้มโบกมือให้เล็กน้อย
“อย่ามานะ !!!” เด็กหนุ่มตะโกน
ทว่า ผลลัพธ์กลับออกมาตรงกันข้าม หญิงผู้เป็นน้าสาวของเขาได้วิ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
อา มีแค่เขาคนเดียวที่เห็นมันจริงๆด้วย
“มะ……มีอะไรเหรอ ชินจิคุง……เป็นอะไรรึเปล่า ? ชินจิคุง ?” คุณน้าถามเขาด้วยท่าทางเป็นห่วง
“ขอโทษครับ”เขาพูดได้เพียงแค่นั้น
คุณน้ามิยาโกะคิดว่าเขาคงจะเหนื่อยเลยบอกว่ารีบกลับบ้านไปพักผ่อนกันเถอะ
ในขณะที่เธอประคองเขาเดิน ชินจิก็แอบกวาดสายตามองไปรอบๆ
มันหายไปแล้ว
พอกลับมาถึงบ้าน คุณน้ามิยาโกะก็ทำยากิโซบะให้เขาทาน
แต่ระหว่างทานข้าว เธอกลับเพียงจ้องมองเขาด้วยความเป็นห่วง ไม่แตะอาหารของตัวเองเลย
“เดี๋ยวเส้นจะอืดหมดนะครับ ?” เด็กหนุ่มตัดสินใจทำลายความเงียบ
“เมื่อกี้มีอะไรเหรอ ?” อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากถามเขา
แววตาของเธอจ้องตรงมา
“……ไม่มีอะไรครับ” ชินจิตัดสินใจตอบกลับไปเช่นนั้น
แน่นอนว่าเธอไม่เชื่อและซักไซ้ต่อ
เขาเพียงแต่เงียบ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆออกมา จนในที่สุดคุณน้าก็ยอมแพ้ไป
แบบนี้ล่ะดีแล้ว
ไม่มีใครมองเห็นมันนอกจากเขา
ในสายตาของคุณน้า เมื่อครู่ตอนอยู่หน้าซุปเปอร์เขาคงมีท่าทีประหลาดน่าดู
แต่ถึงจะอธิบายไปก็คงไม่เชื่อ กลับกันจะทำให้เป็นห่วงซะมากกว่า
ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเก็บงำทุกอย่างไว้ในใจ ไม่พูดออกมา
หลังทานข้าวเสร็จ เด็กหนุ่มก็กลับมาที่ห้องแล้วครุ่นคิดว่าทำไมจู่ๆ “เงา” ที่เขาเห็นแค่ลางๆมาตลอดถึงได้กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากะทันหัน
จู่ๆก็โผล่มางั้นเหรอ… ไม่สิ จริงๆแล้วอาจจะกลับกันก็ได้ ชินจิคิด
เป็นฝ่ายเขาต่างหากที่สามารถเห็นมันได้แล้ว
ส่วนสาเหตุนั้นไม่ต้องสงสัยเลย เป็นเพราะอุบัติเหตุ
แม้ร่างกายเขาจะไม่มีบาดแผลใดๆ แต่อุบัติเหตุก็ได้ทิ้งบาดแผลไว้ในที่ๆมองไม่เห็นและตรวจหาไม่เจอ
เขาเห็นพวกมันครั้งแรกตอนอุบัติเหตุเครื่องบินตก
หลังจากนั้นก็เห็นพวกมันลางๆเป็นพักๆมาตลอด
หมายความว่าเงา… ไม่สิ วิญญาณร้ายพวกนั้นอยู่ข้างตัวเขามาตลอด เพียงแต่ที่ผ่านมาเขามองไม่เห็นมันเท่านั้นเอง
…
… !!!
ในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มก็ได้รู้ตัวถึงเรื่องบางอย่าง
เขาออกวิ่ง
ระหว่างทางก็กวาดสายตาดูรอบข้าง มองหาพวกมันไปด้วย
ใจหนึ่งก็โล่งอกที่ไม่เจอ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่พอใจที่ไม่เจอ
ชินจิวิ่งมาถึงโรงเรียน ตอนนี้ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว เขามาเพื่อรับเพื่อนสมัยเด็กและน้องสาวที่แสนสำคัญของเขา
เด็กหนุ่มไม่อาจปล่อยให้พวกเธอเดินกันเพียงลำพังในโลกที่มีวิญญาณร้ายพวกนั้นแอบซ่อนอยู่ได้
ที่ผ่านมาไม่เคยมีอันตรายอะไรก็จริง
แต่เขาไม่คิดว่าพวกมันจะไม่มีอันตราย
ไม่ใช่เพราะพวกมันมีรูปร่างประหลาด แต่เป็นเพราะความรู้สึกหวาดกลัวที่สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณในตอนที่เขาเห็นมัน
ใช่แล้ว ฟุคิงามิ ชินจิสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นเป็นสิ่งไม่ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น