Chapter 1 (Part 4) : ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์ส
เช้าวันต่อมา
ที่นั่งทุกที่ในห้องเรียนล้วนมีนักเรียนนั่งจับจองอยู่
เว้นแต่เพียงที่หนึ่ง
ชินจิจับจ้องไปยังที่นั่งของโทโนะ
“นาย เมื่อวานก็สนใจที่นั่งของโทโนะสินะ
? แอบชอบอยู่จริงๆเหรอ ?” มีเสียงทักจากเพื่อนผู้ชาย
แต่เด็กหนุ่มก็เพียงส่ายหน้า
จังหวะนั้นเอง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองเขา
พอหันไป คุเรฮะก็ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่เธอจะกลับไปนั่งหลังตรงมองไปข้างหน้าเหมือนเดิม
บรรยากาศในห้องเรียนยามเช้านั้นครึกครื้น
นักเรียนส่วนใหญ่จะคุยเล่นกันบ้าง เล่นมือถือบ้าง
มีเพียงส่วนน้อยบางคนที่จริงจังเท่านั้นที่จะนั่งอ่านหนังสือเรียน นอกนั้นก็ยังมีกลุ่มหนึ่งที่กำลังทำการข่มเหงรังแกอยู่ตรงมุมห้อง
ทว่า ตัวคุเรฮะกลับไม่ได้กลมกลืนไปกับบรรยากาศเหล่านั้น
รอบตัวเธอนั้นราวกับเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ใช่ห้องเรียน
เธอเพียงนั่งเรียบร้อยหลังเหยียดตรงมองตรงไปข้างหน้า
จึงดูโดดเด่นขึ้นมา
แต่ก็ไม่ใช่ว่าโดดเดี่ยวจากสังคมรอบข้าง
เธอเอ่ยคำทักทายเมื่อมีนักเรียนหญิงที่รู้จักเดินผ่าน
เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ตนไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลยจนถึงเมื่อวาน
“เอ้า นั่งที่ได้แล้ว” ครูสึคาดะเดินเข้ามา
จากนั้นก็เริ่มทำการเช็คชื่อ
ครูบอกว่าโทโนะจะหยุดเรียกสักพัก
“เอ๋ ทำไมล่ะคะ ครู ?” นักเรียนหญิงที่รู้จักกับโทโนะถาม
ครูสึคาดะเลยบอกไปว่าทางโรงเรียนก็ไม่รู้ละเอียดอะไรเท่าไร
แค่ผู้ปกครองแจ้งมาแบบนั้น
แปลว่ายังหาร่างของโทโนะไม่พบ
แค่หายตัวไปเฉยๆ พ่อแม่คงไม่คิดว่าลูกสาวจะตาย
แล้วก็ไม่อยากจะคิดด้วย
“โทรไปก็ไม่ติดค่ะ เมื่อวานลองดูหลายรอบแล้ว……” นักเรียนหญิงบอก
“โทรศัพท์ ?
งั้นเหรอ……ทางโรงเรียนเองก็ลองโทรไปด้วยดีไหมนะ……” ครูครุ่นคิด
แล้วในตอนนั้นเองก็มีใครบางคนพูดขึ้น
“ไม่ใช่ว่าโดนผีลักซ่อนไปซะแล้วหรอกเหรอ”
บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไปทันที
จากนั้นก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้นไปทั่ว
“จะว่าไป
ซากุระโนะโมริเนี่ยมีคนหายเยอะเนอะ……”
“คุณภรรยายังสาวที่อยู่ข้างบ้านเองก็หายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเหมือนกัน
เห็นพ่อแม่พูดกันอยู่ว่านอกใจรึเปล่าอะไรทำนองนั้นน่ะ แต่ว่า……”
“ใช่เลย หลังๆมานี้มีเรื่องแปลกๆเยอะนะ
อย่างก่อนหน้านี้เห็นว่ามีกางเกงพละของนักเรียนหญิงปี 1 ถูกขโมยด้วยล่ะ ”
“เอ่อ
อันสุดท้ายมันไม่เกี่ยวกันไม่ใช่เหรอ……”
ใช่แล้ว
ที่เมืองซากุระโนะโมริแห่งนี้ไม่ได้มีแค่คดีหรืออุบัติเหตุแปลกๆ
ยังมีเรื่องแปลกๆอยู่อีกอย่างคือผีลักซ่อน
อยู่ๆวันหนึ่งคนก็หายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โดยที่ไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นอะไรทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับคดีและอุบัติเหตุ คนหายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าที่ไหนก็มีก็จริง
แต่ที่ผิดปกติคือจำนวน
ดูเหมือนที่เมืองซากุระโมริแห่งนี้จะมีคนหายสาบสูญมากจนน่าแปลกใจ
แต่เนื่องจากคดีคนหายแต่ละคดีไม่ใช่เรื่องที่ทำให้สังคมแตกตื่น
เลยไม่มีรายงานในข่าว
เพียงเล่าต่อกันมาปากต่อปากในรูปของข่าวลือ
และนั่นก็คือที่มาของคำเรียก “ผีลักซ่อน”
แม้จะมีคนรู้จักนำเรื่องไปบอกตำรวจ แต่ก็เป็นแค่คดีคนหาย แถมยังไม่มีเบาะแสอะไรด้วย
จึงไม่มีการตามหากันจริงจัง
เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิ… เด็กหนุ่มฉุกคิดขึ้นมาได้
มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าโทโนะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
แล้วถ้าหากโทโนะโดนผีลักซ่อนจริงล่ะก็…
นั่นหมายความว่าคนอื่นๆที่โดนผีลักซ่อนเองก็…
“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ”
หลังเลิกเรียน คุเรฮะเดินเข้ามาหาชินจิ
ชวนเขาไปตามหาโทโนะ
รอบข้างหันขวับมาพร้อมกันทันทีด้วยความตกใจ
“โห……คิริโต้เป็นฝ่ายชวนเองว่ะ……” มีเสียงเด็กผู้ชายพูด
“สองคนนั่น ……ตั้งแต่เมื่อไรกัน” เสียงซุบซิบดังขึ้น
คิริโต้เป็นที่สนใจของรอบข้างจริงๆด้วย ชินจิคิด
แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษอะไรกับปฏิกิริยารอบตัว
เพียงแค่ยืนรอเขาเก็บกระเป๋าเสร็จเท่านั้น
ระหว่างเดินอยู่บนระเบียงทางเดิน
คุเรฮะบอกว่าเธอสงสัยว่าโทโนะจะโดนผีลักซ่อน
พอชินจิถามเหตุผล เธอก็ตอบว่าเหมือนกับคนอื่นๆ
ที่เมืองนี้มีคดีคนหายเยอะ
เด็กสาวบอกว่าตอนแรกเธอก็คิดว่าโทโนะคงจะแค่ขาดเรียนเฉยๆ
แต่พอเห็นชินจิมีท่าทางแปลกๆ ก็เลยเริ่มคิดว่าเป็นผีลักซ่อน
วิธีคิดของคุเรฮะดูแปลกๆ ชินจิคิด
“เรื่องปฏิกิริยาของคนรอบข้างในตอนที่ชั้นมองโทโนะ……มองที่นั่งของเธอด้วยท่าทางคาใจน่ะ” เด็กหนุ่มเกริ่น
“มีเสียงคุยซุบซิบสงสัยกันว่าชั้นแอบชอบโทโนะอยู่
หรืออะไรทำนองนั้นด้วย คิริโต้ไม่ได้ยินเหรอ ?” เขาพูดต่อ
“ก็ได้ยินอยู่หรอก คนๆนั้น……ชื่ออะไรกันนะ ไม่รู้ชื่อก็จริง แต่พูดออกมาซะดังเลยด้วย” เด็กสาวตอบ
“หืม
ถ้าอย่างนั้นคิริโต้ไม่ได้คิดแบบนั้นเหรอ ? ”
“หืม ……อ๊ะ……อ๊า หรือว่ามีเหตุผลแบบนั้นเองหรอกเหรอ” คุเรฮะตกใจพูดออกมาเสียงดัง
“เปล่า ไม่ใช่หรอก” ชินจิปฏิเสธ
ใช่แล้ว วิธีคิดของคุเรฮะแปลกจริงๆด้วย
“ที่ชั้นอยากจะบอกคือ……จะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลกเลย
ควรเรียกว่าปกติด้วยซ้ำ ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่เหมือนเธอจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้” เด็กหนุ่มพูดต่อ
“…………” เด็กสาวนิ่งเงียบ
“นั่นหมายความว่าสนใจเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่แรกรึเปล่า” ชินจิพูดข้อสรุปของตัวเองออกไป
“……เซ้นส์ดีจังนะ” คุเรฮะเอ่ยขึ้น
เธอบอกว่าเธอสนใจเรื่องผีลักซ่อนอยู่
ชินจิจึงถามต่อว่าทำไมเธอถึงได้สนใจเรื่องผีลักซ่อน
“อืม……”
เด็กสาวตอบไม่ได้
“แล้วฟุคิงามิคุงล่ะ”
เธอจึงถามเขากลับด้วยคำถามเดียวกัน
โดยบอกว่าตอนนี้เขากำลังทำตัวเหมือนตำรวจไม่มีผิด
“อืม……”
พอโดนถามกลับด้วยคำถามเดียวกันแล้ว
คราวนี้เด็กหนุ่มจึงเป็นฝ่ายนิ่งเงียบซะเอง
จะว่าไปเมื่อวานก็ต้องแยกกันตอนกำลังพูดเรื่องทำนองนี้พอดี
“ดูเหมือนทางฟุคิงามิคุงเองก็มีความลับอยู่เหมือนกันสินะ” อีกฝ่ายสรุป
“…………” เขานิ่งเงียบ
เธอชี้ได้ตรงจุด
แต่นั่น หากพูดในทางกลับกันก็หมายความว่าตัวคุเรฮะเองก็กำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามคลำหาเรื่องที่อีกฝ่ายปิดบังไว้
ทั้งคู่ก็มาถึงร้านฟอร์ซาพอดี
ชินจิกับคุเรฮะเดินเข้าไปในร้าน
ก่อนจะ…
…ตกใจกับวิญญาณร้ายจำนวนมากที่คืบคลานอยู่ในร้าน
ชินจิตกใจกับภาพตรงหน้าก็จริง
แต่ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ…
เด็กสาวที่อยู่ข้างๆเขา… คิริโต้
คุเรฮะเองก็แสดงอาการตกใจออกมาเช่นกัน
“เอ๊ะ ?” ชินจิแปลกใจ
“เอ๊ะ ?” อีกฝ่ายก็มีท่าทางแบบเดียวกัน
ทั้งสองเปลี่ยนสถานที่จากร้านอาหารอิตาเลี่ยนมาเป็นสวนสาธารณะ
คุเรฮะชมความงามของซากุระก่อนจะถามชินจิว่าได้ชมดอกไม้ไปรึยัง
เขาตอบไปว่าชมไปแล้วกับครอบครัวเมื่อวันอาทิตย์
เธอเลยบอกว่าเธอเองก็ชมไปแล้วกับครอบครัว
แล้วก็นักเรียนโรงฝึก
“นักเรียนโรงฝึก ?” ชินจิสงสัย
แต่คุเรฮะเพียงแค่พยักหน้า แล้วก็ข้ามเรื่องนั้นไป
“แต่ตกใจจริงๆนะ
ไม่คิดเลยว่าฟุคิงามิคุงเองก็มองเห็นโบดาชด้วย……” เด็กสาวเข้าเรื่อง
“โบดาช ?”
“หมายถึงเจ้าพวกนั้นน่ะ
พวกชั้นเรียกมันว่าแบบนั้น” คุเรฮะบอก
“คนที่ตั้งชื่อให้คือคุณปู่ ไม่ค่อยรู้ละเอียดเท่าไร
แต่เห็นว่านำชื่อมาจากผีในนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อกันมาในสกอตแลนด์น่ะ” เธออธิบาย
คุเรฮะบอกว่าเธอและพวกพ้องของเธอกำลังตามล่าโบดาชกันอยู่
ดูจากวิธีพูดนั้นแล้วดูเหมือนเด็กสาวตรงหน้าจะรู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันมากกว่าเขา
ชินจิจึงถามเรื่องวิญญาณร้ายจากเธอ
ได้ความว่า…
พวกคุเรฮะเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกมันคืออะไรกันแน่
รู้เพียงแค่ว่าสำหรับมนุษย์แล้วพวกมันเป็นเหมือนยมทูต
โบดาชจะนำความตายมาสู่มนุษย์ที่มันเข้าไปสิงสู่
และพวกเธอก็ปราบโบดาชกันอยู่
พอได้ยินว่าปราบวิญญาณร้าย ชินจิก็นึกถึง “ฮีโร่” ที่เพื่อนผู้โตกว่าชอบพูดถึงบ่อยๆ
“เอ่อ รู้จักคนชื่อยาสึกะ
ฮิเดโนริรึเปล่า ?” เขาถามเธอ
แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้จัก
ชินจิขอโทษที่แทรกกลางคัน คุเรฮะจึงเล่าต่อ
เธอบอกว่าพวกเธอปราบโบดาชอยู่ก็จริง
แต่ตอนนี้อยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเพื่อนแยกตัวออกห่างไป
เด็กหนุ่มตัดสินใจไม่พูดแทรกถามเรื่องนั้น
ก่อนจะนึกได้ว่าในร้านอาหารเมื่อครู่ก็มีวิญญาณร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก
“เอ่อ ถ้าปราบได้ล่ะก็น่าจะปราบพวกเมื่อกี้ไปด้วยรึเปล่า
มารวมตัวกันเยอะซะขนาดนั้น……” เขาถาม
เด็กสาวมีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะบอกว่ามันเป็นคนละชนิดกัน
เธอบอกว่าโบดาชมีสองแบบ ที่พวกเธอปราบได้คืออีกแบบหนึ่ง
ส่วนที่ชินจิเห็นเมื่อครู่เป็นเหมือนลางบอกความตาย จะโดนสิงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตา
ไม่มีทางทำอะไรกับมันได้
“อะไรกัน……” ชินจิแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“น่า วางใจเถอะ
ถึงโบดาชจะโผล่มาแต่ก็ใช่ว่าจะสิงคนเสมอไปนี่” คุเรฮะพูดปลอบ
จากนั้นเธอก็พูดพึมพำคนเดียว
“แต่โผล่มามากขนาดนั้น……หรือว่า……ร้านอาหารนั่นจะ……”
“……แต่ชั้นไม่คิดหรอกนะว่าความเป็นความตายของคนจะตัดสินกันด้วยโชคชะตาเพียงอย่างเดียว” เด็กหนุ่มพูดออกไป
ใช่แล้ว แต่เพราะแบบนั้นล่ะจึงเหลือความเสียใจภายหลังอยู่
สิ่งที่สูญเสียไปไม่อาจนำกลับคืนมาได้อีกแล้ว
เพราะฉะนั้น อย่างน้อย เขาก็จะ……ฆาตกรที่ฆ่าเธอเอง
“……นั่นสินะ” คุเรฮะครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ความเสียหายจากภัยธรรมชาติเองก็น่าจะลดลงได้ขึ้นอยู่กับมือมนุษย์
อะไรอย่างโบดาชไม่มีอยู่เลยจะดีที่สุด แต่เมืองนี้มีโบดาชเยอะ……เยอะมากๆเลยล่ะ” เธอพูดต่อ
“และพวกชั้นเองก็รู้สาเหตุนั้น
รวมถึงวิธีแก้ปัญหาด้วย”
“อย่างที่บอกไปเมื่อกี้
ปราบพวกมันยังไงล่ะ ถ้าปราบโบดาชอีกประเภท
ตัวแบบเมื่อกี้ก็จะน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ ” เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำแน่นหนักแน่น…
“แต่……ตอนนี้ก็อยู่ในสภาพที่ทำอะไรไม่ได้น่ะน้า…… ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สน่ะ……”
…ก่อนจะพูดด้วยท่าทางห่อเหี่ยว
ผิดกับคำพูดเมื่อครู่
“ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์ส ? คืออะไรงั้นเหรอ ?” ชินจิงงกับคำศัพท์ที่ไม่เคยได้ยิน
“อ๊ะ……” คุเรฮะหน้าแดง
เธอบอกว่านั่นเป็นชื่อทีมปราบโบดาชของพวกเธอ
การสนทนาขาดห้วงไป
พวกเขาเพียงเดินกันอยู่เงียบๆภายในสวนสาธารณะที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาชมดอกไม้
“เอ่อ……อยากจะถามอะไรอย่างหนึ่งน่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยปากขึ้น ทำลายความเงียบ
“เชิญเลย” เด็กสาวกล่าว
“การจะเข้าร่วมทีมด้วยจำเป็นต้องมีเงื่อนไขอะไรรึเปล่า”
“…………”
“ชั้นเองก็อยากจะเข้าร่วมด้วยน่ะ
อยากจะเข้าร่วมซากุระโนะโมริดรีมเมอร์ส”
“จะ จริงเหรอ ?” เด็กสาวแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“อา” เขาตอบกลับไป
พอได้ยินคำพูดนั้นใบหน้าของเด็กสาวก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มโดยทันที
“……ดีจังเลย……ชั้นคิดมาตลอดเลยล่ะว่าต้องพูดยังไงถึงจะชวนฟุคิงามิคุงได้……” คุเรฮะพูดด้วยท่าทางยินดีจากใจ
“แล้วเธอก็เป็นฝ่ายขอมาเอง……ดีใจ……จริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น ไม่มีเงื่อนไขเหรอ ?” เขาถาม
คุเรฮะเลยบอกว่ามีเงื่อนไขอยู่ก็จริง
แต่ชินจิเคลียร์มันไปเรียบร้อยแล้ว เงื่อนไขคือต้องมองเห็นโบดาชได้
จากนั้นเธอก็พูดรัว
“ชั้นตามหาพวกพ้องมาตลอดเลยล่ะ
แต่ปัญหามันอยู่ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็น มีแค่เรื่องนั้นที่ทำอะไรไม่ได้”
“แล้วตรงจุดนั้น ฟุคิงามิคุงก็เหมาะมากเลยล่ะ”
“ชั้นงั้นเหรอ ? จะเป็นอย่างนั้นจริงรึเปล่านะ……” ชินจิสงสัย
“ก็ใส่ใจกับเรื่องคุณโทโนะตั้งแต่แรกเลยไม่ใช่เหรอ
นั่นหมายความว่ามีหัวใจรักความถูกต้องยังไงล่ะ”
“รักความถูกต้องงั้นเหรอ……” เด็กหนุ่มพูดทวน
“ใช่แล้วล่ะ ชั้นเอง ถ้าแค่มองเห็นเฉยๆก็คงไม่ชวนหรอก อื้อ
อยากจะออกจากสภาพที่ทำอะไรไม่ได้นี่ก็จริง แต่พวกพ้องน่ะนะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้ากันได้”
คงเป็นเพราะกำลังดีใจอยู่ คุเรฮะเลยพูดไม่หยุด ผิดกับเมื่อครู่
สิ่งที่จำเป็นสำหรับฮีโร่คือหัวใจรักความถูกต้องงั้นเหรอ
เด็กหนุ่มครุ่นคิด
แต่เขาไม่ได้คิดอยากจะเป็นอะไรแบบนั้นเลย
ถ้าทำให้เขาหาตัวฆาตกรที่ฆ่ามาโดกะพบล่ะก็
ไม่ว่าจะอะไรเขาก็ยอมเป็น
“เพราะแบบนั้น------”
คุเรฮะยังคงพูดรัวด้วยท่าทางดีใจ
ตลอดเวลานั้นเธอกุมมือเขาอยู่ตลอด
“เอ่อ……ว่าแต่” ชินจิบอกให้เด็กสาวรู้ตัว
“เอ๊ะ ?
……อ๊ะ อ๊า……!”
พอรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
เด็กสาวก็ตกใจร้องเสียงดังลั่น
“ขะ……ขะ……ขออภัย ชั้นนี่ล่ะก็ เผลอ……ดีใจเกินไปหน่อย……”
คุเรฮะหน้าแดงและขอโทษเขาด้วยท่าทางประหม่าผิดกับเมื่อครู่
เขาส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
“……แล้ว……เรื่องต่อจากนี้น่ะ” เธอเปลี่ยนเรื่องเข้าประเด็น
“นั่นสินะ
ก่อนอื่นก็ต้องแนะนำให้รู้จักกับปู่แล้วก็คุณมาโฮโระ……คืนนี้ว่างไหม” คุเรฮะถามเขา
พอชินจิพยักหน้า เธอก็ชวนให้เขามาที่บ้านของเธอคืนนี้เพื่อจะได้คุยกันโดยละเอียด
หลังจากนัดหมายเรื่องเวลา, สถานที่และอะไรอื่นๆเรียบร้อยแล้ว…
เด็กสาวก็วิ่งจากไปด้วยความเขินอาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น