Chapter 1 (Part 5) : ปีศาจฆาตกร
หลังแยกกับคุเรฮะแล้ว ชินจิก็ลองไปร้านฟอร์ซาดูอีกครั้งตามที่มาโดกะเสนอ
เขาชะโงกมองเข้าไปในร้าน
คราวนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ
เขานึกถึงคำพูดที่คุเรฮะพึมพำคนเดียวเมื่อครู่
“แต่โผล่มามากขนาดนั้น……หรือว่า……ร้านอาหารนั่นจะ……”
คำพูดนั้นมันหมายความว่ายังไงกันนะ
ตอนขากลับ เด็กสาวผู้เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขาเอ่ยขึ้น
“ฟังจากที่คุเรฮะจังพูด
ดูเหมือนคนที่มองเห็นพวกมันจะหายากอย่างที่คิดจริงๆนั่นล่ะ แต่ว่าตัวชั้นในตอนนี้เองก็มองเห็น……”
“เป็นเพราะตัวตนใกล้เคียงกันรึเปล่านะ……” เธอพึมพำกับตัวเองคนเดียว
…ก่อนจะจ้องเขม็งมา
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ……เมื่อกี้ตอนถูกกุมมือ
ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจไปซะทีเดียวไม่ใช่เหรอไง ?” แฟนสาวของเขาพูดด้วยท่าทางงอนนิดๆ
ก่อนจะเปลี่ยนมาแซวเรื่องเขากับคุเรฮะด้วยรอยยิ้ม
“อะไรกัน หึงเหรอ ?”
เด็กหนุ่มถามไปแบบล้อเล่น
ทว่า เด็กสาวกลับเพียงยิ้มด้วยสีหน้าเศร้านิดๆ
แล้วเอ่ยว่า…
“จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ……ก็ชั้นเป็นวิญญาณนี่นา”
ใช่แล้ว มาโดกะเป็นวิญญาณ
หลังสูญเสียมาโดกะไป เขาก็ทรมาน รู้สึกอยากเจอเธอแทบใจจะขาด
แล้วไม่นานก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ความปรารถนาของเขาได้กลายเป็นจริงในรูปแบบที่คาดไม่ถึง
จะเป็นความฝันหรือภาพลวงตาอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ต่อให้เป็นวิญญาณก็ไม่เป็นไร
ในตอนนั้นเด็กหนุ่มร้องไห้กอดเด็กสาวไว้แน่นแม้ว่าจะสัมผัสถึงไออุ่นไม่ได้เลยก็ตามที
สรุปแล้วตัวเขานั้นไม่ใช่แค่มองเห็นวิญญาณร้ายได้
เขายังมีพลังพิเศษอยู่อีกอย่าง
นั่นคือการมองเห็นวิญญาณคนตาย
ชินจิคิดอยู่ลึกๆว่าถ้าหากพลังนั้นสามารถทำประโยชน์อะไรได้ก็คงจะดี
“เพราะแบบนั้นเลยคิดว่าถ้าชินจิหาแฟนได้เร็วๆก็ดีสิ
นี่พูดจริงนะ” มาโดกะพูดต่อจากเมื่อครู่
“อืม……” เด็กหนุ่มเพียงส่งเสียงตอบกลับไปแบบไม่มีกะจิตกะใจเท่าไรนัก
“แล้ว คิดยังไงเหรอ กับคุเรฮะจังน่ะ”
มาโดกะถามเขาว่าในเรื่องความรักแล้วเขาคิดยังไงกับคุเรฮะ
เขาเลยตอบไปว่าเพิ่งรู้จักกันเมื่อวานเลยยังตอบไม่ได้
“หืม ?
แต่ในโลกนี้ก็มีความรักที่เริ่มขึ้นหลังพบกันได้
5 นาทีด้วยนะ” เพื่อนสมัยเด็กของเขาบอก
“อะไรแบบนั้น……สำหรับชั้นคงไม่ไหวหรอก……”
“ก็นะ ชินจิคงไม่ไหวนั่นล่ะ
ไม่ใช่แนวด้วย”
เธอบอก
“……เพราะยังมีเรื่องของเธออยู่น่ะ” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอ้างว้างนิดๆ
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เด็กสาวก็มีสีหน้าเศร้าเล็กน้อย
ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า…
“ยังลืมเรื่องของชั้นไม่ได้งั้นเหรอ ?”
“อืม เรื่องนั้นก็มีส่วน” ชินจิตอบกลับไปห้วนๆราวกับต้องการจบหัวข้อสนทนานี้เร็วๆ
“เอาเถอะ ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สสินะ
ถ้าเข้ากลุ่มไป หลังจากนี้ก็คงมีโอกาสอีกเยอะ ไม่ใช่แค่ 5 นาที”
มาโดกะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม…
…ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีกะทันหันและเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ว่าแต่……ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ”
เธอบอกว่าการไปปราบวิญญาณร้ายด้วยกันกับซากุระโนะโมริดรีมเมอร์ดูท่าทางอันตราย
ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังยืนกรานที่จะไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจ
“ทำไมงั้นเหรอ” เด็กสาวถามเขา
“นั่นก็เพราะว่า------”
“แอบชอบเข้าแล้วล่ะสิ” มาโดกะแซวเขาเล่น
“ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้……สำหรับชั้นแล้ว
ถ้าพลังของตัวเองทำประโยชน์อะไรสักอย่างได้ก็คงจะดี เพราะคิดแบบนั้นน่ะ” ชินจิตอบกลับไปอย่างจริงจัง
พอได้ฟังดังนั้นมาโดกะก็มีสีหน้าเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“คุเรฮะจังเองก็ชมไว้เหมือนกัน……ดูเหมือนชินจิจะเป็นคนรักความถูกต้องจริงๆนั่นล่ะ…… ในฐานะแฟนแล้วก็ภูมิใจอยู่หรอก……แต่ยังไงก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ดีน่ะนะ……”
เด็กสาวพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหายวับไปจากสายตาเขา
ตอนเย็น
ชินจิบอกคุณน้าว่าหลังจากนี้เขาต้องไปบ้านเพื่อนเลยไปส่งที่คอนโดไม่ได้
คุณน้ามิยาโกะมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
นั่นคงเป็นเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปลอดภัย ต่อให้ไปไหนมาไหนตอนกลางคืนก็ไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก
แต่เพราะแบบนั้นนั่นล่ะ
เมืองซากุระโนะโมริแห่งนี้ที่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นสารพัดคงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ เขาคิด
บ้านคุเรฮะอยู่ชานเมือง แถมยังต้องขึ้นเนินอีก
หากปั่นจักรยานแม่บ้านไปคงลำบาก
สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจใช้จักรยานเสือหมอบที่เป็นของดูต่างหน้าของคนรัก
แม้เขาจะไม่ได้ขี่มันเลย แต่ก็หมั่นทำความสะอาดดูแลรักษาอยู่ตลอดไม่เคยขาด
มันจึงอยู่ในสภาพดีอยู่
ชินจิปั่นจักรยานเสือหมอบไปบนถนนยามค่ำคืน
แม้ตัวเขาจะโตขึ้น แต่ก็ยังพอขี่มันได้
ทว่า คงเป็นเพราะไม่ได้ขี่มานานเลยรู้สึกเหนื่อยพอสมควร
“เอ๋ ?
ระหว่างที่หยุดไปฝีมือตกลงไปมากเลยไม่ใช่เหรอ
แบบนี้คิดไม่ได้เลยนะว่าเป็นคนเดียวกับชินจิคนนั้นที่แม้จะขี่จักรยานแม่บ้าน ขาก็ยังไม่แตะพื้นเลย”
มาโดกะแซวเขาเล่น ก่อนจะชวนให้เขากลับมาขี่จักรยานเป็นงานอดิเรกอีกครั้ง
โดยอ้างว่าหลังจากนี้คงต้องไปบ้านคุเรฮะเพราะเรื่องซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สบ่อยๆด้วย
“แต่……ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะขี่เท่าไรนี่สิ” เขาตอบกลับไป
“คันเล็กไปเหรอ ?”
“เปล่า……ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกไปแล้วนี่”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น
เด็กสาวก็มีสีหน้าเศร้าเล็กน้อยเช่นเดียวกับเมื่อกลางวัน
เด็กหนุ่มเข้าใจดีว่าเด็กสาวต้องการจะบอกอะไร
จะเรื่องแฟนเมื่อกลางวันก็ดี เรื่องจักรยานก็ดี
เธอต้องการให้เขาลืมเรื่องของเธอเร็วๆ
แต่แม้จะรู้อยู่แล้ว
เขาก็……
ชินจิมาถึงบ้านคุเรฮะในสภาพเหนื่อยหอบ
เขาตกใจเล็กน้อยที่บ้านของเธอเป็นคฤหาสน์ญี่ปุ่นหลังใหญ่มากและดูเหมือนจะเป็นโรงฝึกที่เธอพูดถึงเมื่อกลางวันด้วย
หลังกดออดได้สักพักก็มีเสียงตอบกลับมา
เขารู้สึกเกร็งนิดๆเพราะไม่เคยไปบ้านเด็กผู้หญิงมาก่อนนอกจากบ้านมาโดกะกับบ้านฮัตสึเนะจัง
มีชายชราสวมชุดญี่ปุ่นออกมาต้อนรับเขา
จับจ้องเขาราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะ…
“เฮ้ คุเรฮ้า~! แฟนหล่อๆของแกมาแล้ว~” อีกฝ่ายยิ้มแล้วตะโกนเสียงดังลั่น
“เดี๋ยวเถอะ……ปู่ อย่าตะโกนเสียงดังสิ !”
เพื่อนร่วมชั้นของเขารีบเดินออกมาจากบ้านทันที เธอเองก็สวมชุดญี่ปุ่นอยู่เช่นกัน
คุเรฮะหน้าแดงเล็กน้อย
เธอทักทายเขาแล้วบอกกับปู่ว่าชินจิไม่ใช่แฟน แต่เป็นพวกพ้องคนใหม่
“น่า ก็เหมือนกันนั่นล่ะ” ปู่แหย่คุเรฮะเล่น
“ตรงไหนกันล่ะนั่น……” เด็กสาวพูดโดยหน้าแดงเล็กน้อย
“หล่อพอตัวด้วยนะนี่”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกันค่ะ”
“แต่ที่ผมยุ่งไปหน่อยก็ยังไงๆอยู่นา……” ปู่บอก
“อ๊ะ นี่เพราะสวมหมวกกันน็อคมาน่ะครับ……” ชินจิพูดพลางชี้ไปยังจักรยานที่จอดพิงกำแพงอยู่
“โฮ่ เป็นจักรยานที่ดูเท่ไม่เบาเลยนี่” ปู่หันไปมองทางที่เขาชี้
“อ๊ะ……ที่บอกว่าจะขี่จักรยานมาเนี่ย
คันนี้เหรอ ก็ดูท่าทางจะเร็วจริงๆนั่นล่ะ” คุเรฮะเองก็หันไปมองตาม
“โฮ่ สวมหมวกกันน็อคขี่จักรยาน น่าชื่นชมๆ”
หลังชมเขา ปู่ก็พาเขาเข้าบ้าน
ชินจิขอจอดจักรยานไว้ในสวน
จากนั้นก็ขึ้นบ้านตามไป
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
พอเข้ามาในบ้านก็มีเสียงทักทายมาจากเด็กสาวอีกคนหนึ่ง
“สวัสดีครับ” ชินจิทักทายตอบกลับไป
“ทางนี้ คุณชิซุมิยะ มาโฮโระ เป็นรุ่นพี่พวกเราอยู่ปีนึงน่ะ” คุเรฮะแนะนำเธอกับชินจิ
นามสกุล ‘ชิซุมิยะ’
เป็นนามสกุลที่เขารู้จัก
แต่เด็กหนุ่มไม่อยากขัดการสนทนาจึงแค่พยักหน้าไปเฉยๆ
เมื่อเขากับมาโฮโระทักทายกันเสร็จแล้ว
ปู่ก็พูดเหมือนจะเข้าเรื่อง
“ฟุคิงามิคุง”
“ครับ”
ชินจิคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าเรื่องซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สจึงตั้งใจฟัง
“เธอสนใจเล่นเคนโด้รึเปล่า”
“เอ๊ะ” เด็กหนุ่มงงกับคำถามที่ไม่ทันตั้งตัว
“ฮิๆ รีบชวนทันทีเลยนะคะ ? การบริหารโรงฝึกเริ่มลำบากแล้วเหรอคะ” มาโฮโระแซว
ปู่ตอบมาโฮโระไปว่าเปล่า แค่เห็นชินจิดูมีแววเลยชวนเฉยๆ
พอรู้ว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องซากุระโนะโมริดรีมเมอร์ส
ชินจิจึงขอโทษแล้วปฏิเสธไป
“งั้นเหรอ……น่าเสียดายจังนะ……ว่าแต่……ฟุคิงามิคุง”
“ครับ” ชินจิคิดว่าคราวนี้อีกฝ่ายคงจะเข้าเรื่องแล้วจริงๆจึงตั้งใจฟัง
“เธอสนใจเล่นเคนโด้รึเปล่า ?”
“เอ๊ะ” เด็กหนุ่มงงที่ได้ยินคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง
“เคยได้ยินมานะคะว่าถ้ายังแกล้งทำเป็นหลงต่อไปเรื่อยๆ
อาการหลงจริงๆจะมาเร็วขึ้น” มาโฮโระเอ่ยขึ้น
“จะ จริงเรอะ ?” ปู่ตกใจ
หลังคุยนอกเรื่องกับมาโฮโระไปสักพัก ปู่ก็หันมาหาเขาแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง
“ไม่ค่อยได้เจอลูกศิษย์ที่ถูกใจซะทีน่ะนะ
ชั้นตั้งใจไว้แล้วว่าคนที่จะมาแต่งงานกับหลานสาวจะเลือกจากบรรดาลูกศิษย์น่ะ……”
มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น
“เรื่องแบบนั้นเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ” คุเรฮะใช้เท้าเลื่อนเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ปู่เตือนคุเรฮะว่าอย่าใช้เท้าเปิดประตู
เธอเลยบอกว่าก็มือเธอไม่ว่างนี่นา
“ให้ตายสิ……ถ้าไม่เรียบร้อยกว่านี้จะหาแฟนไม่ได้เอาจริงๆนะ” ปู่บ่น
“เกี่ยวด้วยเหรอ นั่นน่ะ” เพื่อนร่วมชั้นของเขาถาม
“เกี่ยวมากเลยล่ะ เนอะ ?” ปู่หันมาถามชินจิ
“อะ เอ่อ……” เด็กหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ
“ปู่คะ ในกรณีของคุเรฮะจัง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องนั้น
แค่พวกเด็กผู้ชายคิดกันว่าเข้าหายากเฉยๆค่ะ” มาโฮโระบอก
“เอ๊ะ งั้นหรอกเหรอ ?” เพื่อนร่วมชั้นของเขามีสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวก็จริง……ฟุคิงามิคุง อยู่ห้องเดียวกันสินะคะ ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเข้าใจไม่ใช่เหรอ” รุ่นพี่หันมาถามเขาแทน
“อืม……นั่นสินะครับ” เด็กหนุ่มเพียงตอบกลับไปสั้นๆ
“หืม……?” คุเรฮะครุ่นคิด
“ถ้าอัธยาศัยดีกว่านี้หน่อยก็หาแฟนได้ทันทีแล้วล่ะ” มาโฮโระแนะนำ
“อัธยาศัยงั้นเหรอ……เอาเถอะ ก็ไม่ใช่ว่าอยากมีแฟนซะหน่อย” เพื่อนร่วมชั้นของเขาพูด
“เอ๊ะ ? ไม่ได้โอดครวญอยู่บ่อยๆว่างานยุ่งจนไม่มีเวลาหาแฟนหรอกเหรอ ?” รุ่นพี่แซว
สุดท้ายคุเรฮะจึงตัดสินใจยุติหัวข้อสนทนานี้กลางคันโดยบอกว่า…
“โธ่……ไม่ได้ขอให้ฟุคิงามิคุงมาเพื่อคุยเรื่องแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ
? มาเข้าเรื่องกันเถอะ”
ทั้งหมดจึงตัดสินใจเข้าเรื่องกัน
ปู่ของคุเรฮะเปลี่ยนมามีสีหน้าจริงจัง บอกกับชินจิว่าคงจะได้ยินเรื่องคร่าวๆมาจากหลานของตนแล้ว
แต่จะขอยืนยันนิดหน่อย
“การปราบโบดาชมีอันตราย
ถึงอย่างนั้นก็จะยังเข้าร่วมงั้นเหรอ” ปู่ถาม
“อ๊ะ !”
คุเรฮะตกใจ บอกว่าเธอลืมพูดไปซะสนิทเลยว่าการปราบโบดาชมีอันตรายอยู่ด้วย
ปู่มีสีหน้าเอือมระอา
“แปลกจังเลยนะ
คุเรฮะจังพลาดเพราะสะเพร่าเนี่ย” มาโฮโระชี้
“เอ่อ……ก็ เจอพวกพ้องแล้วเลยดีใจด้วย……แล้วก็……” เพื่อนร่วมชั้นของเขาพูดพลางหน้าแดงเล็กน้อย
“แล้วก็ ?”
รุ่นพี่สงสัย
คุเรฮะจึงกลบเกลื่อนไป
สงสัยเธอคงกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อกลางวันที่กุมมือเขา
“ไม่หรอกครับ
เรื่องมีอันตรายตามมาด้วยนี่คาดการณ์เอาไว้แล้วด้วย”
ชินจิตัดสินใจพาหัวข้อสนทนากลับเข้าเรื่อง
ปู่จึงอธิบายถึงอันตรายให้ฟังว่าโบดาชคือความตายที่สักวันหนึ่งจะต้องมาถึงก็จริง
แต่ถ้าไปยุ่งกับมันสุ่มสี่สุ่มห้า ความตายอาจจะมาถึงก่อนเวลาอันควรก็ได้
ถึงอย่างนั้นก็จะยังเข้าร่วมงั้นเหรอ
เด็กหนุ่มยังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าจะไม่เปลี่ยนความตั้งใจ
“หืม……ว่าแต่ ทำไมกันล่ะ” ปู่ถามเหตุผล โดยบอกว่าเป็นงานที่ไม่ได้ทั้งเงิน
ไม่ได้ทั้งคำสรรเสริญจากรอบข้าง จึงสงสัยว่าทำไมถึงคิดจะเข้าร่วม
“นั่นเพราะว่า------” ชินจิกำลังเอ่ยปากตอบ
“อา เข้าใจแล้วล่ะ” ปู่พูด
“เอ๊ะ ?”
เขาแปลกใจ
“แอบชอบเข้าแล้วสินะ” ปู่พูดต่อ
ทั้งห้องตกลงไปสู่ความเงียบ
“…………เอ๋ ชั้นงั้นเหรอ ? กะ โกหกน่า……” คุเรฮะตกใจ
“เดี๋ยวสิ คุเรฮะจัง ใช่ว่าเจ้าตัวเป็นคนพูดแบบนั้นเองซะหน่อยนี่” รุ่นพี่ชี้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เพื่อนร่วมชั้นของเขาเลยหัวเราะแหะๆด้วยใบหน้าเขินอายเล็กน้อย
การสนทนาออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว
ชินจิตัดสินใจพาหัวข้อสนทนากลับเข้าเรื่องอีกครั้ง
เด็กหนุ่มบอกว่าตนมีพลังพิเศษ
ไม่ใช่แค่มองเห็นโบดาชได้ แต่ยังสามารถเห็นวิญญาณคนตายได้ด้วย
ความตื่นตกใจมาเยือนในห้อง
เขาเพิ่งเคยบอกเรื่องนี้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก
เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ
แต่ถ้าเป็นคนพวกนี้ที่อยู่เคียงข้างโลกที่ผิดธรรมดาแล้วล่ะก็คงจะยอมเชื่อ
“งั้นเหรอ……เข้าใจแล้วล่ะ ฟุคิงามิคุงถึงได้ตกใจในห้องเรียนสินะ
? ตอนที่รู้ว่าคุณโทโนะขาดเรียนน่ะ” คุเรฮะบอก
“ใช่แล้วล่ะ ในสายตาของชั้น ตอนนั้นทุกที่มีคนนั่งอยู่ครบหมด……เลยเห็นว่ามีโทโนะอยู่ด้วย แล้วก็….” เขาพูด
เด็กหนุ่มบอกว่าตัวเขามีพลังที่คนอื่นไม่มี
จึงอยากหาความหมายของพลังนั้น คิดว่าน่าจะมีหนทางที่สามารถนำพลังนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
“เป็นคำตอบที่ฟังดูดีตามแบบฉบับเลยนะ” ปู่พูดด้วยน้ำเสียงสงสัยนิดๆ
คุเรฮะเลยบอกว่าชินจิเป็นคนรักความถูกต้อง
ถ้าไม่ใช่แบบนั้นคงไม่ตามหาโทโนะหรอก
พอได้ยินหลานสาวพูดแบบนั้น ปู่ของคุเรฮะจึงยอมพยักหน้า
ก่อนจะบอกว่าเห็นแบบนี้แต่ตนก็เป็นตำรวจ พอจะมองคนออก
ชินจิดูผิดกับวัยรุ่นอ่อนแอทั่วไป เป็นคนที่ผ่านการต่อสู้มาพอสมควร
ชินจิรีบปฏิเสธทันควันว่าไม่ใช่
ปู่เลยบอกว่าตนคงฝีมือตกแล้วเลยมองผิดไป
แต่ยังไงชินจิก็ดูต่างจากวัยรุ่นธรรมดาทั่วไปอยู่ดี
“ว่าแต่รู้จักคุณยาสึกะ ฮิเดโนริหรือเปล่าครับ” ชินจิเปลี่ยนเรื่อง
ปู่บอกว่าไม่รู้จัก
“เมื่อกลางวันก็พูดถึงสินะ
คนๆนั้นมีอะไรงั้นเหรอ” คุเรฮะถาม
เขาเลยบอกไปว่าคุณฮิเดะเหมือนจะรู้เรื่องซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สนิดหน่อย
ทว่า ทั้งคุเรฮะ มาโฮโระ และปู่ กลับไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย
ทีแรกเขานึกว่าเรื่องซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สจะเป็นความลับซะอีก
คุเรฮะเลยบอกว่าคนที่รู้ก็มีอยู่น่ะ
อย่างพวกนักเรียนโรงฝึก
เมื่อปู่ของคุเรฮะได้ทราบถึงเหตุผลและการเตรียมใจของชินจิ
จึงบอกว่าตนก็ไม่คิดจะคัดค้าน
จากนั้นก็พูดต่อว่าหลังคุเรฮะผิดใจกับเพื่อนจนเพื่อนคนนั้นแยกตัวออกไป
ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สก็อยู่ในสภาพหยุดพักมาตลอดเลย
“งั้นแปลว่าปู่ไม่คัดค้านสินะ” เพื่อนร่วมชั้นของเขาถาม
“ไม่คิดจะบ่นอะไรตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
แค่ลองพิสูจน์การเตรียมใจของเจ้าตัวดูเฉยๆนั่นล่ะ” ชายชราบอก
พอได้ยินว่าปู่ไม่คัดค้าน เด็กสาวสองคนตรงหน้าก็แสดงท่าทางยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด
และแบบนี้
ฟุคิงามิ ชินจิจึงได้กลายเป็นสมาชิกของซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สไปอย่างเป็นทางการ
คุเรฮะกับปู่อธิบายเรื่องโบดาชให้ชินจิฟังอย่างละเอียด
โบดาชมี 2 ประเภทคือสีฟ้ากับสีแดง
โบดาชสีฟ้านั้นทำอะไรกับมันไม่ได้
จึงไม่ควรเข้าไปยุ่งเลยจะดีที่สุด
ส่วนโบดาชสีแดงนั้นคือสิ่งที่ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สกำลังปราบอยู่
พอฟังมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็นึกได้ว่าตนไม่เคยเห็นตัวสีแดงมาก่อนเลย
ปู่ของคุเรฮะยังคงอธิบายต่อไปเรื่อยๆ…
โบดาชสีฟ้านั้นจะนำความตายมาสู่คนที่มันสิง ส่วนโบดาชสีแดงจะเปลี่ยนคนที่มันสิงให้กลายเป็นปีศาจฆาตกร
ตัวสีฟ้านั้นเป็นเหมือนยมทูต
มนุษย์จึงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
ทว่า ตัวสีแดงนั้นต่างกันออกไป ปีศาจฆาตกรเป็นมนุษย์
มนุษย์ด้วยกันจึงสามารถจัดการกับมันได้
ชินจิฟังมาถึงตรงนี้ก็สงสัย เลยถามว่าถ้าอย่างงั้นทำไมถึงไม่ปล่อยให้ตำรวจจัดการ
ปู่เลยบอกว่าถ้าทำได้คงปล่อยให้ตำรวจจัดการไปแล้ว
ปู่ของคุเรฮะเป็นตำรวจเก่า จึงไม่น่าจะไม่เชื่อใจในตำรวจ
คงมีเหตุผลบางอย่างอยู่ ชินจิคิด
คุเรฮะจึงอธิบายต่อว่าในกรณีที่ถูกโบดาชสีแดงฆ่า
รูปร่างของผู้ก่อเหตุดูเป็นมนุษย์ธรรมดาก็จริง
แต่ผู้เคราะห์ร้ายจะไม่เหลือแม้แต่ศพ ทั้งร่างกาย ทั้งเลือด
ทั้งเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะมลายหายไป กลายเป็นโบดาชสีฟ้า
“ซึ่งนั่นก็คือที่มาของผีลักซ่อนยังไงล่ะ” เด็กสาวพูด
ปู่พูดต่อว่ายิ่งองค์กรใหญ่เท่าไรก็ยิ่งขยับตัวได้ยากเท่านั้น
หากไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้
ผีลักซ่อนจึงไม่ถือเป็นคดีฆาตกรรม
เป็นแค่คดีคนหายเท่านั้น
ชินจินึกถึงภาพในตรอกเมื่อ 3 ปีก่อน
ตอนที่เขาไปตามหาวิญญาณร้ายด้วยกันกับคุณฮิเดะ
ตอนนั้นศพก็หายไปในเวลาไม่ถึง 10 นาทีเช่นกัน ไม่ใช่แค่ศพ
แม้แต่รอยเลือดก็ไม่เหลือ
ผลสุดท้ายตำรวจก็ไม่เชื่อ แถมยังโกรธใส่ด้วยซ้ำ
“แม้แต่คดีธรรมดาเอง
ถ้าฆาตกรฆ่าแบบสุ่มก็คลี่คลายได้ยากสินะคะ ?” มาโฮโระพูด
ปู่เลยบอกว่าปกติตำรวจจะสืบคดีจากความเกี่ยวข้องของผู้ตาย
แต่ปีศาจฆาตกรฆ่าไม่เลือกเลยไม่มีประโยชน์ที่จะใช้วิธีนั้น
“แล้วยิ่งไม่เหลือศพด้วย……นั่นเลยเป็นเหตุให้พวกเราซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สต้องออกโรงสินะ” รุ่นพี่สรุป
เมื่อฟังจบ ชินจิก็ตกตะลึง
เมืองซากุระโนะโมริแห่งนี้มีคดีคนหายมากมายผิดปกติ
และคนทั่วไปเรียกคดีแบบนั้นกันว่า “ผีลักซ่อน”
ถ้าหากผีลักซ่อนคือการฆาตกรรมโดยปีศาจฆาตกรแล้วล่ะก็…
นั่นหมายความว่าที่เมืองของตนกำลังมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีใครรู้
เด็กหนุ่มตกตะลึงกับความจริงนั้น
จากนั้นปู่ก็บอกว่าอันตรายที่ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สต้องเผชิญคืออันตรายจากการไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจฆาตกร
“ไม่เป็นไรครับ” ชินจิตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาไม่แน่ใจว่าตนเข้าใจถึงคำว่าอันตรายนั่นดีแค่ไหน
ทว่า พอได้ยินว่าฆาตกรแล้วเขาก็ไม่อาจถอยกลับได้อีกต่อไป
“ในบรรดาคนที่หายสาบสูญไปมีคนถูกฆ่าตายอยู่มาก
นี่ไม่ใช่แค่การคาดเดา มีหลักฐานด้วย”
พูดแล้วปู่ก็เดินออกจากห้องไป
“……ตกใจรึเปล่า” เด็กสาวผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้นถามเขาอย่างอ่อนโยน
“ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
เบื้องหลังที่ทำให้คิริโต้คาใจกับการขาดเรียนของโทโนะ” เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
เธอบอกว่าเธอสัมผัสอะไรบางอย่างได้จากท่าทีของเขา
ถ้าหากรู้เรื่องเมื่อกี้อยู่แล้วล่ะก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
ปู่ของคุเรฮะกลับมาพร้อมกับวิดีโอ
“ไม่ใช่ของที่จะทนดูได้หรอกนะ เอายังไง ? จะดูรึเปล่า ? หรือจะแค่ฟังเรื่องราวอย่างเดียวก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
ปู่ถามเขา
ตัวเลือกที่ 1) จะดู
ตัวเลือกที่ 2) พอแค่นี้ละกัน
“จะดูครับ” เด็กหนุ่มตัดสินใจ
คุเรฮะกับมาโฮโระจึงเดินออกจากห้องไป
บนจอทีวีฉายภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเลือดออกมาจากบริเวณหู
เธอไม่มีใบหูอยู่
ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด
แต่เพราะถูกปิดปากอยู่จึงไม่สามารถร้องออกมาได้
ข้างหลังมีใครบางคนอยู่
คนๆนั้นสวมชุดดำทั้งตัวจนดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย
ผู้หญิงพยายามดิ้นรนหนีจากคนชุดดำอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่เพราะถูกมัดอยู่จึงขัดขืนไม่ได้มากนัก
คนชุดดำเดินเข้ามาใกล้
แล้วก็…
ฉึก !
มันเอามีดแทงผู้หญิง
ผู้หญิงร้องเสียงดังแม้จะถูกปิดปากอยู่
เลือดสาดกระจาย
ผ่านไปราวๆ
1 นาทีผู้หญิงก็แน่นิ่งไป
จากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับร่างกายของเธอ
ร่างของเธอค่อยๆหายไปทีละน้อย
เลือดที่ไหลนองก็หายไปจนไม่เหลือร่องรอยเช่นกัน
สุดท้ายร่างไร้วิญญาณของผู้หญิงก็กลายเป็นโบดาชสีฟ้าไป
แล้ววิดีโอก็จบลง…
…โดยมีภาพไพ่โจ๊กเกอร์ปิดท้าย
ปู่บอกว่าตอนจบฆาตกรคนนี้จะโชว์ไพ่โจ๊กเกอร์ปิดท้ายที่หน้ากล้องเสมอ
ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สจึงเรียกปีศาจฆาตกรตนนี้ว่า “โจ๊กเกอร์”
พออธิบายจบปู่ก็ลุกจากที่นั่ง
โดยบอกว่าจะไปเรียกคุเรฮะกับมาโฮโระ
หลังปู่ของคุเรฮะลุกออกไป
ชินจิถึงเพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายของตนมีเหงื่อไหลท่วม
ภาพในวิดีโอนั่น ดูยังไงก็ไม่ใช่ของที่ทำขึ้น
เด็กหนุ่มเพิ่งเคยเห็นการฆาตกรรมสดๆกับตาเป็นครั้งแรก
พอคุเรฮะกับมาโฮโระกลับเข้ามาในห้องแล้ว
ปู่ก็อธิบายให้ฟังว่าโจ๊กเกอร์จะส่งวิดีโอมาเป็นระยะๆ
“คุณโทโนะเองก็ถูกโจ๊กเกอร์ฆ่าตายรึเปล่านะ……” คุเรฮะสงสัย
แต่ปู่บอกว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวิดีโอแบบนั้นส่งมา
ชินจิเสนอว่าวิดีโอนั่นน่าจะเป็นหลักฐานให้กับตำรวจได้ไม่ใช่เหรอ
ปู่เลยบอกว่าตอนแรกก็ส่งให้ตำรวจอยู่หรอก
ทางตำรวจเองก็แตกตื่นกันใหญ่ แต่เพราะไม่มีเบาะแสเลยทำอะไรไม่ได้
สถานที่เองก็เปลี่ยนไปทุกครั้งด้วย และถึงจะเป็นคราวโชคดีที่รู้ว่าเป็นที่ไหน
ตอนไปถึงก็ไม่เหลือหลักฐานอะไรแล้ว
“สุดท้ายแล้ว
พอไม่ต้องกังวลเรื่องจัดการศพ การฆ่าคนก็ง่ายขึ้นด้วย” ปู่พูด
จากนั้นก็บอกว่าจุดมุ่งหมายของซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สคือการกำจัดโบดาชสีแดงก็จริง
แต่เป้าหมายหลักในตอนนี้คือโจ๊กเกอร์ จะปล่อยให้ฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ลอยนวลไม่ได้
เนื่องจากดึกแล้ววันนี้เลยพอกันก่อนแค่นี้
ชินจิกับคุเรฮะจึงเดินไปส่งมาโฮโระที่บ้าน
ระหว่างทางนั้นเอง…
“รุ่นพี่ เคยมีน้องชายชื่อยาซึทากะหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มได้ถามออกไป
“…………รู้จักกันเหรอ ? กับยาซึทากะน่ะ” มาโฮโระมีสีหน้าแปลกใจ
ชินจิจึงบอกไปว่าเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน
“ดีใจยังไงไม่รู้นะ ได้มาเป็นพวกพ้องเดียวกับเพื่อนของน้องชายเนี่ย” เด็กสาวรุ่นพี่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ว่าแต่ทำไมรุ่นพี่ถึงได้เข้าร่วมซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สหรือครับ” เขาถามเรื่องที่สงสัยออกไป
คุเรฮะจึงตอบแทนให้ว่ามาโฮโระมีพลังพิเศษอยู่
หากปราศจากพลังนั้นแล้วจะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมของซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สต่อไปได้เลย
ชินจิเลยบอกว่าเขาไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น
แต่กำลังถามถึงเรื่องแรงจูงใจอยู่
“จะว่าไป
ไม่ค่อยได้คุยเรื่องแบบนี้กันเท่าไหร่ด้วยสิ……เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันด้วย
ทางบ้านก็มีความสัมพันธ์ร่วมมือกันมาตั้งแต่เมื่อก่อนด้วย เลยไม่เคยสงสัย” คุเรฮะพูด
มาโฮโระครุ่นคิด แล้วบอกว่าเป็นอย่างที่คุเรฮะพูด เพราะมีความสัมพันธ์นั้นจึงช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา
แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น การเข้าใกล้โบดาชซึ่งเป็นความตายนั้นเปรียบเสมือนการเข้าไปใกล้โลกโน้น
ถ้าอย่างนั้นเธออาจจะมีโอกาสได้เจอกับน้องชายอีกครั้งก็เป็นได้
เด็กสาวรุ่นพี่ตอบมาเช่นนั้น
ก่อนจะบอกว่าเธออิจฉาพลังมองเห็นวิญญาณคนตายของชินจิ
เด็กหนุ่มจึงรับปากว่าถ้าเขาเห็นวิญญาณของยาซึทากะล่ะก็จะรีบบอกทันที
ทั้งสามคนเดินมาถึงบ้านของมาโฮโระ
เขากับคุเรฮะจึงบอกลาเธอ
“อ๊ะ ใช่ๆ ชินจิคุง”
ทว่า ก่อนไปรุ่นพี่ทักเขา
บอกกับเขาด้วยรอยยิ้มว่าไม่ต้องใช้ภาษาสุภาพกับเธอก็ได้
ในตอนที่เขาหันกลับมาหาเธอนั้น เขารู้สึกว่านักเรียนรุ่นพี่ตรงหน้าดูคล้ายกับเพื่อนสนิทผู้ล่วงลับมาก
ทั้งๆที่รุ่นพี่ดูสมกับเป็นผู้หญิง
ไม่น่าจะมองผิดเป็นผู้ชายได้เลยแท้ๆ
แต่เพราะความรู้สึกนั้น
เด็กหนุ่มจึงพยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้ม
หลังส่งมาโฮโระแล้ว
ชินจิก็เดินกลับไปเอาจักรยานที่จอดทิ้งไว้บ้านคุเรฮะ
ระหว่างทางก็คุยกันเรื่องซากุระโนะโมริดรีมเมอร์ส
คุเรฮะบอกว่าช่วงราวๆ 2 ปีนี้ที่โจ๊กเกอร์ส่งวิดีโอมานั้นพวกเธอทำอะไรไม่ได้เลย
แต่หลังจากนี้นี่ล่ะที่จะเป็นการโต้กลับ
“แต่เรื่องคุณโทโนะ
คงจะไม่เกี่ยวกับโจ๊กเกอร์รึเปล่านะ……บางที……”
เพื่อนร่วมชั้นของเขาให้ความเห็น
ดูเหมือนเธอจะคาใจกับเรื่องที่ร้านอาหารนั่นมีโบดาชอยู่เป็นจำนวนมาก
เขาอยากจะถามเรื่องนั้นด้วยก็จริง
แต่เพราะเห็นบ้านแล้วเลยตัดสินใจถามเรื่องที่สงสัยมากกว่าไป
“มีเรื่องคาใจอยู่เรื่องนึงน่ะ
การที่ส่งแผ่นซีดีมาที่บ้านได้เนี่ยแปลว่าเป็นไปได้ว่าโจ๊กเกอร์จะเป็นคนรู้จักไม่ใช่เหรอ” ชินจิถาม
“……อืม……”
“ไม่ใช่แค่นั้น ดูเหมือนโจ๊กเกอร์จะรู้ด้วยว่าพวกคิริโต้กำลังทำอะไรกันอยู่
ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะลดขอบเขตผู้ต้องสงสัยไปได้ไม่ใช่เหรอ”
พอได้ฟังความเห็นของเขา เด็กสาวก็มีสีหน้าหนักใจ
แล้วบอกว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ปู่ตั้งอกตั้งใจชวนนักเรียนโรงฝึกให้มาเข้าร่วมซากุระโนะโมริดรีมเมอร์ส
“เอ่อ
หรือว่านอกจากซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สแล้ว……มีคนที่กำลังปราบโบดาชอยู่ตามลำพังด้วยงั้นเหรอ” เขาถาม
“เอ๊ะ……?” เด็กสาวมีท่าทางตกใจพอสมควร
“เอ่อ……ก็……ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหรอก……มั้งนะ……ว่าแต่ ทำไมงั้นเหรอ” คุเรฮะพูดด้วยท่าทางเหมือนกำลังกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างอยู่และต้องการจบเรื่องนี้เร็วๆ
ชินจินึกย้อนไป
ใช่แล้ว ตอนนั้นเขากับคุณฮิเดะเห็นชายถือมีด แล้วก็พบศพในตรอก
แต่ศพก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นก็มีข่าวว่ามีการพบศพชายถือมีดตามมา
“โทษที เผลอนอกเรื่องไปหน่อย
แล้วเรื่องลดขอบเขตผู้ต้องสงสัยนี่ว่ายังไงเหรอ……”
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขาตัดสินใจไม่แตะเรื่องนี้
เขาไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองจนเกินควร
คุเรฮะที่ไม่ต้องการพูดเรื่องนี้อยู่แล้วเลยรีบเปลี่ยนเรื่องตามทันที
เธอบอกว่าเพราะปู่ชวนนักเรียนโรงฝึกไปทั่ว เลยมีคนที่รู้เรื่องนี้อยู่เยอะ
ผู้ต้องสงสัยเองก็เลยเยอะตามไปด้วย
จากนั้นก็ถึงบ้านของคุเรฮะพอดี
เด็กหนุ่มจึงหยิบจักรยานของตัวเองแล้วแยกกับเพื่อนร่วมชั้น
“นี่……ชินจิ”
ตอนขี่จักรยานกลับบ้าน มาโดกะโผล่มาส่งเสียงทักเขา
เธอถามเขาว่าจะร่วมมือกับพวกคุเรฮะจริงๆเหรอ
สถานการณ์เปลี่ยนไปจากเมื่อกลางวันแล้ว อีกฝ่ายไม่ใช่วิญญาณร้าย
แต่เป็นฆาตกรตัวจริง แบบนั้นมันอันตรายเกินไป
มาโดกะสิงอยู่ในโบว์ผูกผมที่เป็นของดูต่างหน้า
หากเป็นระยะโดยรอบโบว์ผูกผมแล้วล่ะก็ แม้จะไม่โผล่มา
เธอก็สามารถรับรู้ได้ในระดับมนุษย์ทั่วไป
แล้วเขาก็พกโบว์ผูกผมนั่นไปไหนมาไหนด้วยตลอด
นั่นหมายความว่าถึงเธอจะได้ยินเรื่องเมื่อครู่ก็ไม่แปลกอะไร
“นี่ ปฏิเสธไปเถอะ ชินจิ มันอันตราย……จริงๆนะ” เพื่อนสมัยเด็กขอร้องเขา
เธอแสดงท่าทางเป็นห่วงเขาอย่างจริงจังผิดกลับเมื่อกลางวันที่ยังมีหยอกเล่นบ้าง
เพราะแบบนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจจอดจักรยานแล้วพูดกับเธอตรงๆ
“ทำไม่ได้” เขาบอกไปตามตรง
“ทำไมกันล่ะ ?”
“พอชั้นได้ยินคำว่าฆาตกรแล้วยิ่งรู้สึกว่าถอยกลับไม่ได้”
“……”
“คงเข้าใจเรื่องที่ชั้นอยากจะบอก……สินะ ?”
“ไม่เข้าใจหรอก” เพื่อนสมัยเด็กของเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับโกรธเล็กน้อย
“ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ตำรวจจัดการงั้นเหรอ ? เปล่า ไม่ได้หมายถึงเรื่องเมื่อกี้ ถ้าเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดาล่ะก็ควรจะปล่อยให้ตำรวจจัดการ
เป็นอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ ?” เธอพูดต่อ
“ตำรวจพึ่งไม่ได้” เด็กหนุ่มพูดออกมาสั้นๆ
“…………” เด็กสาวเงียบไปอีกครั้ง
“ไม่ใช่ว่ามีความเคลือบแคลงแบบไร้ที่มาที่ไปด้วย
ตอนนี้ทีมสืบสวนเองก็ยกเลิกไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็……” เขาชี้แจง
“แล้วในความเป็นจริงคดีก็หายเข้ากลีบเมฆไปแล้วด้วย” ชินจิพูดต่อ
ใช่แล้ว นั่นเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด
แต่วันคืนที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอฟังข่าวว่าจับตัวฆาตกรได้แล้วนั้นมันผ่านพ้นไปนานแล้ว
“แล้ว……ชินจิคิดจะคลี่คลายคดีแทนตำรวจงั้นเหรอ ? คดีที่หายเข้ากลีบเมฆไปแล้วน่ะนะ” มาโดกะพูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้า
“อา ตั้งใจจะทำแบบนั้นล่ะ……ตั้งใจจะทำไปตลอดด้วย”
“…………” เด็กสาวมีสีหน้าเศร้ายิ่งขึ้นไปอีก
ทว่า แม้จะเห็นใบหน้าเศร้าของเด็กสาว
เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ตลอดไปเลย……น่ะนะ”
ตอนนี้ผ่านไปแล้ว 3 ปีแล้วหลังจากที่มาโดกะตาย
เขาไม่ได้ยืนหยัดกลับมาสู่สภาพปกติแต่อย่างใด
ตัวเขานั้นได้พังทลายลงไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วตอนนี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่ถูกเย็บติดกันด้วยด้ายที่มีชื่อว่า
“ความแค้น”
เขาจึงไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้
และหากด้ายนี้ขาดไป คราวนี้เขาคงจะไม่มีวันยืนหยัดขึ้นมาได้อีกเลย
“ชั้น……เป็นวิญญาณ
เลยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกหรือการกระทำของชินจิได้
แล้วก็คิดว่าห้ามไปเปลี่ยนแปลงเด็ดขาดด้วย” มาโดกะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ห้าม ?” ชินจิสงสัยกับคำพูดนั้น
“…………”
ทว่า มาโดกะกลับไม่ตอบ เพียงยิ้มอย่างอ้างว้าง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น…
“แต่ขอร้องล่ะ อย่าทำเรื่องอันตรายเลยนะ……นะ ?”
“อืม……เข้าใจแล้ว”
พอเด็กหนุ่มรับคำ เด็กสาวก็หายไปอย่างไร้ร่อยรอย
เด็กหนุ่มจึงเริ่มปั่นจักรยานเพียงลำพังอีกครั้งภายใต้ฟากฟ้ายามราตรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น