Kajiri Kamui Kagura

posted on 1/01/2563 02:58:00 ก่อนเที่ยง by VermillionEnd Categories:
  สวัสดีปีใหม่ครับ !   ปีนี้ก็ปี 2020 แล้ว เป็นปีเลขสวยเลยอยากจะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆดูบ้าง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ตอนสิ้นปีเลยลองทำอะไรใหม่ๆอย่างดู Yu-Gi-Oh! VRAINS ข้ามปีไปราวๆ 12 ตอนครับ(ปกติไม่ค่อยได้ดู Anime เท่าไร) แล้วก็พบว่าฟังออกเกือบหมดเลยแม้จะไม่ดูซับก็ตาม น่ายินดีๆ  ส่วนยูซาคุ พระเอกภาคนี้ก็เป็นพระเอกที่เท่โดนใจแบบที่ไม่ได้เจอมาหลายภาคด้วย

  เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เกมที่นำมาให้ดูในวันนี้คือเกม Kajiri Kamui Kagura ของค่าย light ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 30 กันยายน ปี 2011 ครับใช่แล้วครับ ฟังไม่ผิดหรอก เกมของค่าย light ที่เป็นที่เลื่องลือกันว่าภาษายากนรกนั่นล่ะ เพราะแบบนั้นงานแปลชิ้นนี้นอกจากปริมาณงานที่เยอะ(สุดๆ)แล้ว เลยยังยากมากอีกด้วยครับ ยากที่สุดในบรรดางานที่เคยทำมาทั้งหมดเลย ขนาดตอนแปล Silverio Vendetta ที่ว่ายากแล้วยังต้องชิดซ้าย งานนี้เจอทั้งตัวหนังสือแนวตั้ง ทั้งภาษาโบราณ แล้วก็ความเป็นญี่ปุ่นสุดๆตั้งแต่วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ยันตำนานเลยทีเดียว จะเรียกว่าผมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างที่สั่งสมมาในการเรียนภาษาญี่ปุ่นในการแปลงานชิ้นนี้ก็ว่าได้ครับ (ที่จริงเหตุผลที่เริ่มศึกษาภาษาโบราณก็เพราะเกมนี้นั่นล่ะครับ  เมื่อปี 2015 ลองเปิดเกมนี้ดู ก่อนจะยอมแพ้ไปในทันที หลังจากนั้นจึงเริ่มคิดว่าภาษาโบราณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆในการเล่นเกมของค่าย light บางเกม)

  เนื้อเรื่องของเกม Kajiri Kamui Kagura นี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตอันไกลโพ้นหลังฉากจบรูทหนึ่งของ Dies Irae ที่เป็นเกมในตำนานของค่าย light ครับ แต่แม้จะไม่เคยเล่น Dies Irae มาก่อนก็สามารถเล่นเกมนี้ได้…  เหตุผลที่ผมสนใจเกมนี้ก็เพราะเป็นเกมของค่าย light (การันตีความแอคชั่นอลังการจูนิเบียว)ที่มีรูทน้องสาวครับ  เกมนี้มีพระเอกนางเอกทั้งหมด 4 คู่ โดยแต่ละคู่จะเป็นพระเอก & นางเอกในบทของตัวเอง เช่น ฮาบาคิกับรินโดเป็นพระเอกและนางเอกของบท 神世創生 (สามารถแปลได้ว่า ก่อร่างสร้างยุคสมัยแห่งทวยเทพ), เคย์ชิโร่กับซาคุยะเป็นพระเอกและนางเอกของบท 楽土血染花 (สามารถแปลได้ว่า บุปผาย้อมโลหิต ณ แดนสรวง) เป็นต้น  แน่นอนว่าผมอวยคู่เคย์ชิโร่กับคุณน้องซาคุยะครับ เลยสนใจเกมนี้

ป.ล. ชื่อย่อของ Kajiri Kamui Kagura คือ KKK ล่ะครับ ซึ่งตัวย่อนี้มันดันไปตรงกับชื่อย่อของพวก Klu Klux Klan ที่ใช้ KKK เหมือนกัน  เลยมีคนเอาไปล้อว่า “KKK เกมภาคต่อของเกมนาซี(Dies Irae)”  ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะบังเอิญกันได้ขนาดนี้




神咒神威神楽
Kajiri Kamui Kagura
อาคมเทพ อิทธิฤทธิ์เทพ รำบวงสรวงเทพ





คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจาก Official Web Site (light)

Story

ณ ชินชู หรืออีกชื่อหนึ่งคืออาชิฮาระโนะนาคาสึโคคุ ดินแดนซึ่งหากย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งประเทศ จะย้อนไปได้ถึงการปราบสัตว์ประหลาด
เหล่าขุนศึกต่างแก่งแย่งความดีความชอบจากจักรพรรดิ จนเกิดเป็นยุคสมัยแห่งความวุ่นวายที่หยาดเลือดมากมายต้องหลั่งริน
ทว่า เรื่องที่ครึ่งซีกตะวันออกของประเทศยังมีดินแดนที่ไม่ได้รับการสำรวจอยู่ได้กลายเป็นที่รับรู้กัน ยุคสมัยจึงมาสู่จุดเปลี่ยนกะทันหัน

สงครามปราบตะวันออก

ผู้ที่ปราบแดนตะวันออกได้เช่นเดียวกับตำนานวีรบุรุษตอนก่อตั้งประเทศนี่ล่ะที่จะได้ครองแผ่นดิน
เหล่าขุนศึกต่างถูกความทะเยอทะยานเช่นนั้นเข้าสิง แล้วนำทัพบุกเข้าไป แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกองกำลังฝั่งตะวันออก
ว่ากันว่าพวกมันเป็นสิ่งที่ผิดแผกไปจากสามัญสำนึกปกติธรรมดา เป็นมารที่เกินกว่าภูมิปัญญาของมนุษย์จะหยั่งถึง

แล้วเวลาก็ผ่านไปสามร้อยปี
เพื่อไม่ให้ประเทศอื่นรู้ถึงการพ่ายแพ้และความอ่อนล้าจากสงคราม ชินชูจึงปิดประเทศมาตลอด
ทว่า ด้วยความแปดเปื้อนจากปราณแห่งหยินที่ไหลมาจากฝั่งตะวันออกและบรรดาต่างชาติที่มากดดันให้เปิดประเทศ ปัจจุบันจึงอยู่ในภาวะวิกฤติที่การคงอยู่ของประเทศกำลังสั่นคลอน

ดังนั้นเพื่อขจัดปราณแห่งหยิน แล้วก็เพื่อรับมือกับประเทศมหาอำนาจ จึงได้เริ่มการปราบตะวันออกขึ้นมาอีกครั้ง
การต่อสู้ที่ไม่อาจแพ้ได้
ไม่จำเป็นต้องมีเกลือในทะเลสาบ
หากมีปะปนอยู่ล่ะก็จะเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
นี่คือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดอย่างแท้จริง
โคงะ รินโด ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพปราบตะวันออก ได้นำเหล่าผู้กลายเป็นครึ่งสัตว์ประหลาดเพราะความแปดเปื้อนเข้าไปสู่การต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
สุดท้ายแล้ว พวกเขาจะได้เห็นสิ่งใดกันนะ




Character

กองกำลังปราบตะวันออก





เล่นทำเอาหลงเลยล่ะ คุณหนูแห่งโคงะ งั้นชั้นจะยอมตายเพื่อเธอละกัน

ซาคางามิ ฮาบาคิ
坂上 覇吐

เกิดมาในตระกูลซึ่งมีสายเลือดเก่าแก่ที่สุดในบรรดาตระกูลนักรบ แต่เพราะบรรพบุรุษได้รับความแปดเปื้อนระดับความเข้มข้นสูงมาจากการปราบตะวันออกในอดีตจึงถูกกลั่นแกล้ง แล้วปัจจุบันตระกูลก็ตกอับมาตลอด
ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็เป็นคนรักอิสระที่ไม่คิดมากกับเรื่องแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย เป็นคนชอบทำตัวเด่นที่ทำตัวตามอำเภอใจ, ไม่มีอาชีพสุจริตทำเป็นหลักแหล่ง แล้วยังมักมากในกาม สรุปคือเป็นแค่ไอ้หื่นบ้าๆบอๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง
หลงรักรินโดในทันทีที่พบ จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมการปราบตะวันออกเพื่อนำเธอมาเป็นของของตน
ถูกบรรดาพวกพ้องมองว่าเป็นไอ้บ้า แต่ด้วยความร่าเริงซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ที่ไม่ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ขนาดไหนก็ยังคงยิ้มอยู่ได้ เลยค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางของพวกเขาไป




ถ้าเช่นนั้น วิญญาณนั่น ฉันที่เป็นแม่ทัพจะเป็นคนโอบกอดไว้เอง

โคงะ รินโด
久雅 竜胆

ผู้นำตระกูลโคงะ ตระกูลซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าตระกูลนักรบในชินชู
เป็นแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังปราบตะวันออก  ด้วยนิสัยที่เข้มงวดของเธอ เลยเป็นที่เรียกขานกันว่าเจ้าหญิงอสูรแห่งโคงะ
ถึงอย่างนั้น ความเชื่อของเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเรื่องปกติธรรมดาในโลกของมนุษย์ที่มีพื้นฐานมาจากหลักคุณงามความดีทั้งห้า ทว่า ในผลงานชิ้นนี้ สิ่งนั้นคือความนอกรีต และถูกทำเหมือนเป็นหลักการของผู้ผิดปกติ
กล่าวคือ เธอซึ่งเป็นคนปกติคนเดียวในโลกอันบ้าคลั่งนี้กำลังถูกมองว่าเป็นคนบ้าอยู่นั่นเอง
แม้จะเกิดความขัดแย้งขึ้นเพราะความแปลกแยกจากรอบข้าง แต่รินโดก็ไม่เปลี่ยนไป  ถึงจะถูกทำเหมือนเป็นคนบ้า ก็ยังมุ่งไปสู่การปราบตะวันออกเพื่อปราบเคไก โดยปรารถนาถึงโลกอันแสนสงบสุข




ไอ้โง่ คิดว่ากำลังหาเรื่องกับใครอยู่กัน

เคียวเก็ตสึ เคย์ชิโร่
凶月 刑士郎

เจ้าบ้านหนุ่มแห่งตระกูลเคียวเก็ตสึ
ตระกูลเคียวเก็ตสึนั้นเป็นตระกูลที่มีพลังมางาสึกิ พลังพิเศษซึ่งเป็นที่จงเกลียดจงชังที่สุดในผลงานชิ้นนี้สถิตอยู่ ด้วยสถานการณ์นั้นกับจุดยืนของตน จึงเป็นบุคคลอันตรายที่ไม่เป็นมิตรกับคนนอกสุดๆและชอบแก้ปัญหาด้วยกำลัง ทว่า มีแค่กับซาคุยะที่เป็นน้องสาวบุญธรรมเท่านั้นที่จะเกรงใจและยอมโอนอ่อนแต่โดยดี
เป็นไพ่ตายในการปราบเคไก  เพื่อซาคุยะที่ถูกมองว่าเป็นระเบิดสำหรับใช้แล้วทิ้งและเพื่ออนาคตของตระกูล จึงเข้าร่วมการปราบตะวันออกโดยหมายจะสร้างผลงานในการรบ
จากสาเหตุในตอนที่ได้พบกัน ทำให้ไม่ถูกกับฮาบาคิราวกับหมากับแมว เป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเมินเฉยซึ่งกันและกันได้




เพื่อให้สามารถก้าวเดินไปด้วยกันกับท่านพี่ได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร ภายใต้ตะวัน จันทรา ดารา แล้วก็หิมะที่ประดับประดาอยู่บนฟากฟ้า …”

เคียวเก็ตสึ ซาคุยะ
凶月 咲耶

คุณหนูแห่งตระกูลเคียวเก็ตสึ  เป็นน้องสาวบุญธรรมของเคย์ชิโร่
เป็นผู้มีพลังพิเศษที่มีระดับความบริสุทธิ์สูง จึงถูกมองว่าเป็นระเบิดเดินได้และถูกลิดรอนอิสระเกือบทั้งหมดไป โดยจะต้องถูกผนึกอย่างแน่นหนาและอยู่ภายใต้การจับตาดูอย่างเข้มงวดตลอดเวลา
มีความรู้สึกโหยหาที่เกินเลยไปกว่าจุดยืนที่เรียกว่าน้องสาวต่อเคย์ชิโร่ซึ่งพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเธอ จึงตัดสินใจเข้าร่วมการปราบตะวันออกเพื่อเป็นพลังให้กับพี่ชาย
ตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนแอและบอบบาง จิตใจภายในนั้นแข็งแกร่ง เป็นประเภทที่จะพูดเรื่องที่คิดออกมาทั้งหมด แล้วเวลาพูดทีก็นานด้วย
ผู้ที่สามารถจัดการกับเคย์ชิโร่ที่ชอบใช้กำลังแก้ไขปัญหาและไม่ค่อยเป็นมิตรกับพวกพ้องคนอื่นได้นั้น ในความเป็นจริงแล้วมีแค่เธอคนเดียว




ถ้าอย่างนั้นก็จะขอบอกแนวทางหลักของผมให้ฟังเช่นกันครับ  หากชักออกจากฝักครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็จะฟันครับ

มิบุ โซจิโร่
壬生 宗次郎

นักดาบผู้มีใบหน้าที่เรียวราวกับผู้หญิงและท่าทางที่สุภาพเรียบร้อยเป็นจุดเด่น
แต่ตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น ภายในนั้นสนใจแต่การได้ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งแล้วฟันทิ้งเท่านั้น
แล้วไม่ใช่แค่กับมนุษย์อย่างเดียว จะตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่ว่าฟันได้หรือฟันไม่ได้  มีเป้าหมายคือการได้เป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในฮิโนะโมโตะ  เพื่อให้ได้ฉายานั้นมาครอง จึงมาเข้าร่วมการปราบตะวันออก
ในฐานะผู้ฝึกตนนั้นจัดว่าไปถึงที่สุดแล้ว  ทว่า ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งคือภูมิต้านทานต่อเสน่ห์ของผู้หญิงนั้นอยู่ในระดับที่น้อยจนน่าสงสาร
ด้วยเหตุนี้เลยแพ้ทางชิโอริที่ชอบเปิดเผยเนื้อหนัง

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล ฮิโนะโมโตะ(日ノ本) คืออีกชื่อหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น




ฉันเองก็หลงรักชายชาตรีคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน แต่คงจะเป็นคนละคนกับคุณหนูแน่นอน รู้สึกประมาณว่าไม่อยากจะยกให้ใครน่ะนะ

คุโจ ชิโอริ
玖錠 紫織

ลูกคนโตของตระกูลคุโจที่เป็นกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์การต่อสู้ซึ่งคอยปกป้องพระราชวังมารุ่นต่อรุ่น
ถึงอย่างนั้นดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่มีความคิดที่จะสืบทอดสำนัก ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลนั้นมีกำหนดการจะยกให้น้องชายอยู่
เรื่องนั้นเป็นเพราะรับรู้ว่าวิชาของตนเป็นวิถีนอกรีตที่มีหยินปะปนอยู่ จึงคิดว่าไม่คู่ควรกับศาสตร์การต่อสู้สำหรับปกป้องราชวงศ์
เพื่อทำให้วิชาหยินของคุโจยุติลงอย่างสมบูรณ์ในรุ่นของตน จึงเข้าร่วมการปราบตะวันออกโดยหมายจะปราบเคไกซึ่งเป็นต้นตอของความผิดเพี้ยน
ปกติแล้วจะเป็นเหมือนพี่สาวผู้ร่าเริงที่เข้ากับผู้อื่นได้ดี แต่ตอนต่อสู้จะกลายเป็นคนเลือดเย็นไร้ความปรานีโดยสิ้นเชิง ทว่า ในเวลาปกติเองก็มีนิสัยที่คาดเดาได้ยาก อย่างแม้จะเป็นกุลสตรีผู้อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ในเวลาเดียวกันก็ขาดความละอายในฐานะผู้หญิง
ด้วยเหตุนั้น ภาพลักษณ์ของเธอที่ผู้อื่นเห็นเลยมักจะไม่ค่อยตรงกันเท่าไรนัก




ช่างวิเศษ ช่างงดงาม ไม่น่าเบื่อเลย น่าอภิรมย์ยิ่งนัก

มาดาระ ยาโค
摩多羅 夜行

องเมียวจิระดับหาตัวจับยาก
พลังอาคมของเขานั้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ไหวพริบปฏิภาณของเขาซึ่งห่างชั้นกับผู้อื่นจนเกินไปนั้นถึงกับถูกขนานนามว่าเป็นรูโหว่ที่เกิดขึ้นมาบนโลกมนุษย์
รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา สติปัญญาหลักแหลม เป็นขุนนางหนุ่มผู้หาที่ติไม่ได้ แต่ก็เป็นชายวิกลจริตซึ่งนิสัยกับรสนิยมความงามที่บิดเบี้ยวนั้นทำให้ข้อดีทั้งหมดที่ว่ามาเสียของด้วย
กิริยาวาจาที่ราวกับเป็นอาชญากรผู้มีความสุขไปกับปฏิกิริยาของผู้คนในทุกๆเรื่องนั้นเด่นสะดุดตา แต่ในเวลาเดียวกันเองก็ดูมองโลกในแง่ร้ายยังไงไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าใจจริงนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่  ที่เข้าร่วมการปราบตะวันออกเอง เบื้องหน้าก็เหมือนจะแค่มาเพื่อเที่ยวชมทัศนียภาพ ……




ใครเป็นยัยเปี๊ยกกันยะ พวกแกก็แค่ตัวสูงกว่าฉันหน่อยเดียวเองไม่ใช่เหรอไง

มิคาโดะ ริวซุย
御門 龍水

บุตรีบุญธรรมของริวเมย์ และเป็นคู่หมั้นของยาโค
เป็นผู้สืบทอดแห่งมิคาโดะซึ่งเป็นหัวหน้าของเหล่าผู้ใช้อาคมทั่วชินชู แต่กลับฝักใฝ่ในวิชาองเมียวจนคุณสมบัติที่มีมาแต่เดิมผิดเพี้ยนไป
เรื่องนั้นเป็นเพราะหลงใหลในวิชาของยาโค และความรู้สึกที่อยากจะได้รับการยอมรับจากเขานั้นหนักแน่นยิ่งกว่าสิ่งใด
แต่ปัจจุบันความมุ่งมั่นนั้นกลับสูญเปล่า ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ปรารถนา
เคารพเทิดทูนริวเมย์ผู้เป็นแม่บุญธรรม แต่เฉพาะกับเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่จะไม่เชื่อฟังและดื้อหัวชนฝา
เหตุผลที่เข้าร่วมการปราบตะวันออกเองก็มาจากความรู้สึกนั้น จะไล่ตามแผ่นหลังของยาโคอยู่เสมอ




เละเทะกระจัดกระจายจนน่าตกใจ เลยค่ะ !”

นิโกะ
爾子

ชิกิงามิของยาโค มีศักดิ์วิญญาณสูงที่สุดในประวัติศาสตร์วิชาองเมียว เป็นมหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงยาโคคนเดียวเท่านั้นที่ใช้งานได้ …… ได้ยินมาว่าเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยรสนิยมของยาโคผู้ชอบทำตัวตามอำเภอใจที่บอกว่าถ้าเอาจริงแล้วจะน่าเกลียด ก็เลยถูกฝืนตรึงให้อยู่ในรูปร่างลูกหมา (แต่ตัวใหญ่เท่าวัว)
บอกว่าตัวเองเป็นหญิงสาว มีมารยาทดีแต่ปากจัด จะพูดจาหยาบคายด้วยแววตากลมแป๋ว
ดูเหมือนจะเป็นตัวเมีย
นอกจากนี้ ดูเหมือนจะสามารถเปลี่ยนเป็นร่างคนได้ด้วย ทว่า ก็ไม่ยอมโชว์ให้ดูสักที
ฮาบาคิจินตนาการเพ้อฝันอยู่ว่าถ้าเป็นเด็กผู้หญิงที่มีหูสัตว์ก็คงจะดี

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล ชิกิงามิ(式神) คือภูตรับใช้ขององเมียวจิ




นิโกะ ขอล่ะ ช่วยอยู่เงียบๆทีได้ไหม

เทย์เรย์
丁禮

ชิกิงามิของยาโค มีศักดิ์วิญญาณสูงที่สุดในประวัติศาสตร์วิชาองเมียว เป็นมหาวีรบุรุษที่มีเพียงยาโคคนเดียวเท่านั้นที่ใช้งานได้ …… ได้ยินมาว่าเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยรสนิยมของยาโคผู้ชอบทำตัวตามอำเภอใจที่บอกว่าถ้าเอาจริงแล้วจะน่าเกลียด ก็เลยถูกฝืนตรึงให้อยู่ในรูปร่างเด็ก
เป็นผู้มีความลำบากที่แม้จะลำบากใจกับรสนิยมของเจ้านายที่เหมือนคนโรคจิต แต่ก็ยังคงจงรักภักดีอยู่ในฐานะชิกิงามิ




จะเรียกสิ่งนั้นว่าวิญญาณ เป็นคำพูดที่ไม่มีใครใช้กันแล้วและเลือนหายไป ตอนนี้คนที่รู้ก็คงมีแค่ราวๆฉันเท่านั้นล่ะมั้ง

มิคาโดะ ริวเมย์
御門 龍明

เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักมิคาโดะซึ่งปกครองผู้ใช้อาคมทั้งหมดทั้งมวลในชินชู
หากตระกูลโคงะคือหัวหน้าฝั่งตระกูลนักรบแล้วล่ะก็ ทางนี้ก็คือหัวหน้าฝั่งอาคม
มีมารยาทและแข็งแกร่งไร้เทียมทานเหมาะสมคู่ควรกับจุดยืนและอำนาจนั้น
เป็นคนน่าพิศวงซึ่งมีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจหยั่งถึงลอยออกมาอยู่รอบตัว และบางครั้งจะพูดเรื่องที่เหมือนกับมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งออกมา
มีข่าวลือประหลาดๆออกมาไม่ขาดสาย เช่น หากอิงจากบันทึก อายุก็ใกล้จะเฉียดแปดสิบแล้ว แต่กลับดูอ่อนวัยไปกว่าห้าสิบปี เป็นต้น




สรุปคือพวกเราเป็นศัตรูทางความรักกันยังไงล่ะ

จูอิน เรย์เซ็น
中院 冷泉

ผู้นำตระกูลจูอิน ตระกูลซึ่งเป็นอันดับสองในวงล้อแห่งดอกรินโดทั้งห้าที่รวมเหล่าตระกูลนักรบในชินชูไว้เป็นปึกแผ่น และในความเป็นจริงแล้วถือเป็นตระกูลที่มีพลังมากที่สุดในบรรดาตระกูลนักรบด้วย
สำหรับรินโดแล้วถือเป็นศัตรูทางการเมือง แต่สำหรับโซจิโร่แล้วคือเจ้านาย
ดูเผินๆแล้วเป็นสุภาพบุรุษที่คาดเดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทว่า ตัวตนที่แท้จริงนั้นเป็นชายอันตรายที่ทั้งอำมหิต, ชื่นชอบการต่อสู้ และมักใหญ่ใฝ่สูง แล้วในเวลาเดียวกันยังมีความเจ้าเล่ห์อีกด้วย
แอบเคลื่อนไหวอย่างลับๆอยู่เบื้องหลังสงครามปราบตะวันออกเพื่อทำให้ความทะเยอทะยานของตนเป็นจริง สำหรับพวกรินโดแล้วถือเป็นภัยอันตรายในความหมายที่ต่างไปจากเคไก





ยาสึคาฮางิ





จะทำลายให้ดับสูญหมดสิ้น------ขอสาบาน จะไม่ปล่อยให้ใครรอดกลับไปทั้งนั้น

เทนมะ ยาโตะ
天魔・夜刀

เทพแห่งหายนะผู้ใช้กฎเกณฑ์ของตนทำให้พื้นที่ทุกหนทุกแห่งในเอโดะตกไปอยู่ในสภาพที่ตนต้องการ
เป็นเสาหลักของยาสึคาฮางิ ตัวการหลักที่ทำให้เอโดะกลายเป็นอีกโลกหนึ่งก็คือเขา
ด้วยเหตุนี้ กองกำลังทั้งหมดของเคไกจึงเป็นร่างแยกของยาโตะและเป็นดั่งเลือดเนื้อ ดังนั้น ขอแค่โค่นเขาได้ก็จะสลายไป แต่ในทางกลับกันก็สามารถกล่าวได้ว่าตราบใดที่ตัวตนของเขายังไม่หายไป ตนอื่นๆก็จะไม่มีวันตาย
แล้วในความเป็นจริง การที่มนุษย์จะทำอันตรายยาโตะซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ระดับพระเจ้าของต่างโลกนั้นมันเป็นไปไม่ได้ สำหรับกองกำลังปราบตะวันออกอย่างพวกรินโดแล้วจึงถือเป็นอุปสรรคที่ใหญ่หลวงจนแทบสิ้นหวัง แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตัวยาโตะเองยังเกลียดชังโลกภายนอกเอโดะอย่างรุนแรง หนทางหันมาปรองดองกันจึงเป็นไปไม่ได้ด้วย




เหล่าผู้คนจากต่างโลกที่น่ารังเกียจเอ๋ย จงกลายเป็นฝุ่นผงที่จะถูกฝังในสนธยานี้ไปซะเถอะ

เทนมะ อาคุโระ
天魔・悪路

หนึ่งในยาสึคาฮางิ พญามารซึ่งปกครองเอโดะ
กับโมเรย์ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดนั้นเป็นพี่น้องกันและเป็นคู่รักกัน ทั้งสองรักกันมาก
เนื่องจากค่อนข้างสุภาพเมื่อเทียบกับตนอื่น เลยชวนให้คิดว่าอาจจะพูดคุยกันรู้เรื่อง แต่การที่เนื้อแท้บ้าคลั่งไปด้วยความเกลียดชังนั้นก็เหมือนกับเคไกตนอื่นๆโดยสิ้นเชิง หรือควรจะบอกว่าให้มองเป็นกลุ่มก้อนแห่งจิตสังหารอันเยือกเย็นจะถูกต้องกว่า
ด้วยเหตุนั้นจึงไม่มีช่องโหว่ เป็นตัวตนที่ในหมู่พญามารทั้งแปดเองก็จัดว่ามีระดับความอันตรายสูง




ความโอหังนั่น ลักษณะการมีตัวตนนั่น……อย่างที่คิด แกคือผู้สืบทอดของเจ้านั่นจริงๆด้วย

เทนมะ โมเรย์
天魔・母禮

หนึ่งในยาสึคาฮางิ พญามารซึ่งปกครองเอโดะ
กับอาคุโระที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดนั้นเป็นพี่น้องกันและเป็นคู่รักกัน ทั้งสองรักกันมาก
เป็นคนแสดงออกทางอารมณ์รุนแรงไม่เหมือนกับพี่ชาย และมีพลังไฟที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแปดตนราวกับเป็นการเทียบเคียงกันนิสัยนั้น
จากเหตุผลนั้น การจะสู้ด้วยจึงอยู่บนพื้นฐานที่ว่าจำเป็นต้องมีการปิดผนึกอันตรายรอบข้างก่อน จึงไม่ใช่คู่ปรับที่พวกผู้ใช้ศาสตร์การต่อสู้จะต่อกรได้




มีบางคนที่จำได้ว่าเคยเห็น อา เป็นใครกันนะ นึกไม่ออกแล้ว

เทนมะ โมมิจิ
天魔・紅葉

หนึ่งในยาสึคาฮางิ พญามารซึ่งปกครองเอโดะ
จะเรียกว่าเป็นสายผู้มีเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวในหมู่พญามารก็ว่าได้ จุดยืนนั้นเป็นฝ่ายศัตรูไม่ผิดแน่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ประเภทชอบต่อสู้โดยไม่พูดไม่จากันก่อน
มีดินแดนที่คล้ายๆประเทศเป็นของตัวเองอยู่ในเอโดะ แล้วที่ทำให้มีสภาพเป็นประเทศเช่นนั้นได้เองก็เป็นฝีมือของเธอคนเดียวเช่นกัน
กับยาโคและริวซุย แล้วก็ริวเมย์, นิโกะและเทย์เรย์……กับคนจากมิคาโดะอย่างพวกเขานั้น ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวโยงอะไรบางอย่างอยู่……




น่าอิจฉา ไม่รู้จักละอายซะบ้างเลยนะ เพราะแบบนั้น แม้แต่เรื่องที่ถูกทำให้แปดเปื้อนก็ยังสามารถลืมไปได้จนหมดสินะ

เทนมะ นุมาฮิเมะ
天魔・奴奈比売

หนึ่งในยาสึคาฮางิ พญามารซึ่งปกครองเอโดะ
ตัวตนนั้นไม่แน่ไม่นอน ด้วยเหตุนั้นจึงผลุบๆโผล่ๆ
รูปร่างเองก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริง
แม้จะมีด้านที่คุยกันรู้เรื่องรองจากโมมิจิ แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นตัวตนที่เหมือนกับระเบิดเพราะโมโหง่ายจนน่าอันตราย พูดสั้นๆคือไม่ได้มีสติดี
ในความหมายที่ว่าไม่อาจคาดเดาได้นั้นถือเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่มีอะไรอันตรายไปมากกว่านี้อีกแล้ว




ไม่ยอมหรอก ไม่ยอมให้ไปหรอก จากตรงนี้ไปจะไม่ยอมให้พวกเธอไปต่อแม้แต่ก้าวเดียว

เทนมะ โทโคโย
天魔・常世

หนึ่งในยาสึคาฮางิ พญามารซึ่งปกครองเอโดะ
กิริยาเรียบร้อยงดงามและรูปลักษณ์ดูบอบบาง แต่ซุยจินโซซึ่งแสดงถึงตัวตนที่แท้จริงนั้นกลับน่าเกลียดและชั่วร้ายที่สุด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ไม่ใช่ของแบบที่สามารถทนมองตรงๆได้
เป็นผู้บัญชาการที่แท้จริงซึ่งคอยสั่งการเคไกทั้งหมดแทนยาโตะที่ไม่สามารถออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของเอโดะได้
รักยาโตะมาก แต่จะเว้นระยะห่างอยู่ก้าวหนึ่งเสมอและไม่ยอมแสดงความรู้สึกนั้นออกมาให้เห็น
ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นการยึดมั่นในคุณธรรมตามแบบของเธอ แต่ความจริงจะเป็นยังไงนั้นก็ไม่อาจทราบได้




เมืองนี้น่ะตายไปเรียบร้อยแล้ว เพราะแบบนั้นไม่ใช่ที่ๆพวกแกจะเหยียบเข้ามาได้

เทนมะ สุคุนะ
天魔・宿儺

หนึ่งในยาสึคาฮางิ พญามารซึ่งปกครองเอโดะ
อยู่ภายใต้ไท่จี๋ของยาโตะไม่ผิดแน่ แต่กลับมีด้านที่เหมือนเป็นอิสระจากไท่จี๋นั้นอยู่ ไปไหนมาไหนอย่างอิสระตามอำเภอใจที่สุด และจะแปรเปลี่ยนสถานการณ์ให้กลายเป็นความสับสนวุ่นวาย
เนื่องจากมีนิสัยที่จะสนุกไปกับการก่อกวนผู้อื่นทางจิตใจจนหัวปั่น ปกติเลยชอบกลอุบาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความสามารถในการต่อสู้ไม่เพียงพอ กลับกัน ควรจะบอกว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ห้ามสู้ตรงๆเด็ดขาดเลยด้วยซ้ำ
หากลากเขาเข้ามาในสนามรบแล้วล่ะก็ไม่มีทางที่จะจบลงอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ตาม




ขอแค่นักแสดงดี ละครก็จะยอดเยี่ยม------แบบนี้นี่เอง เป็นคำพูดเหลวไหลของหมาขี้แพ้สินะ

เทนมะ โอทาเกะ
天魔・大獄

หนึ่งในยาสึคาฮางิ พญามารซึ่งปกครองเอโดะ
โฉมหน้าซึ่งอยู่ภายใต้ชุดเกราะหน้ากากอสูรนั้นไม่ทราบแน่ชัด  เรื่องราวมากมายเป็นปริศนา
มีสติปัญญาผิดกับร่างกายที่กำยำบึกบึน แต่นั่นก็สามารถมองได้ว่าเป็นอีกด้านหนึ่งของความป่าเถื่อนที่หากต่อสู้แล้วจะรับมือไม่ไหว
ดำรงอยู่ในจุดยืนเฉพาะตัวในความหมายที่ต่างไปจากสุคุนะ ในบางเรื่องยังสามารถมองได้ว่าขัดแย้งกับยาโตะอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางจะมาเป็นมิตรของกองกำลังปราบตะวันออกอยู่ดี




World

แนะนำฉากของเรื่อง




ไดโยคุไค เทนกุโด (ภพภูมิเทนกุ ณ ภูมิแห่งมหากิเลส)
นิยามของโลกซึ่งเป็นเวทีของเรื่อง
ไม่มีเทพ, พระพุทธเจ้า, ศาสนา หรือคุณงามความดีที่มีที่มาจากความเชื่อ แล้วยังไม่มีแนวความคิดเรื่องสวรรค์หรือนรกหลังความตาย
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงยึดถือเพียงหลักการหรือค่านิยมของตนเป็นกฎอันสมบูรณ์ สำหรับตนแล้วดีหรือไม่ดีนั้นคือทุกสิ่ง
กล่าวได้ว่าเป็นโลกที่ทุกคนยกตัวของตัวเองเป็นพระเจ้า ไม่มีการทำเพื่อผู้อื่นโดยแท้จริง พูดสั้นๆก็คือการเป็นโรคหลงตัวเองนั้นคือสามัญสำนึกปกติทั่วไป กลายเป็นเรื่องธรรมดาของโลกไปแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น แม้จะมีการกระทำอย่างยอมสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือเพื่อนหรือคนรักอยู่ก็จริง แต่แรงจูงใจนั้นสุดท้ายแล้วก็เพื่อตัวเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหลักการที่ว่าหากทำเช่นนั้นแล้วตนจะสามารถรักตัวของตัวเองได้
ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือการที่ตนจะได้เปล่งประกายเจิดจ้า ถ้าเพื่อการนั้นแล้วก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่ความตาย นี่เป็นความคิดที่มีได้เพราะไม่มีแนวคิดเรื่องโลกหลังความตาย แต่ก็ตามที่ได้กล่าวไป นั่นคือเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้
สรุปคือกำลังรักปัจเจกบุคคลที่เรียกว่าตนเองในรูปแบบไหนอยู่ ด้วยการที่การตีความนั้นต่างกันออกไปหลากหลาย ทำให้สิ่งที่เรียกว่าการรวมกลุ่มยังสามารถดำรงอยู่ได้ ตั้งแต่ระดับต่ำสุดคือครอบครัวไปจนถึงระดับสูงสุดคือประเทศ แต่ส่วนรากฐานนั้นบิดเบี้ยวอยู่ การที่ความรักหรือความเชื่อใจที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน, การทำเพื่อคนอื่นและศรัทธาถูกมองว่าเป็นความวิกลจริต เป็นหลักการของผู้ผิดปกตินั้นคือสภาพในปัจจุบัน
จะเรียกว่าเป็นหลักการแบบหนึ่งในโลกของมารก็ว่าได้

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล
- โยคุไค(欲界, แปลตามตัวอักษรได้ว่า โลกแห่งกิเลส) นั้นคือ กามภูมิในศาสนาพุทธ ซึ่งประกอบด้วยภพภูมิทั้งหก อันได้แก่ภพภูมินรก, ภพภูมิเดรัจฉาน, ภพภูมิเปตร, ภพภูมิอสูร, ภพภูมิมนุษย์ และภพภูมิสวรรค์
- เทนกุโด (天狗道, สามารถแปลได้ว่า ภพภูมิเทนกุ) นั้นเป็นความเชื่อหนึ่งในศาสนาพุทธ ซึ่งเชื่อกันว่าภพภูมิเทนกุเป็นภพภูมิหนึ่งที่อยู่ในโลกของมาร จึงไม่ได้อยู่ในภพภูมิทั้งหก และเนื่องจากไม่ได้อยู่ในภพภูมิทั้งหกจึงหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ว่ากันว่าผู้ที่จะได้ไปเกิดในภพภูมินี้คือพระที่หยิ่งผยอง เพราะรู้แจ้งในพุทธจึงไม่ตกนรก และเพราะไร้ซึ่งความศรัทธาจึงไม่ได้ไปสวรรค์ ต้องมาเป็นมารวนเวียนอยู่ในภพภูมิเทนกุไปชั่วนิรันดร์




อาชิฮาระโนะนาคาสึโคคุ (ดินแดนซึ่งอยู่กลางทุ่งต้นกก)
ประเทศซึ่งตั้งอยู่ ณ ปลายสุดของตะวันออก ปกครองโดยระบบราชาธิปไตยแบบสืบสันตติวงศ์โดยมีจักรพรรดิเป็นผู้นำ มีอีกชื่อหนึ่งว่าชินชู (ดินแดนแห่งเทพ)
จักรพรรดิได้สูญเสียอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงไปตั้งแต่ช่วงแรกๆของประวัติศาสตร์ แต่ก็ได้รับการยอมรับให้คงอยู่ต่อไปในฐานะอำนาจซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ และเหล่าขุนศึกต่างก็แก่งแย่งรัศมีที่แผ่ออกมาจากอำนาจนั้นกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อสามร้อยปีก่อน ความวุ่นวายจากสงครามเช่นนั้นได้ทวีความรุนแรงจนถึงขีดสุด แต่จากความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในการปราบตะวันออก ตระกูลนักรบส่วนใหญ่ได้ล่มสลายลง ยุคสมัยแห่งความวุ่นวายจึงจบลงอย่างไม่คาดคิด
นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ใช้ระบบปิดประเทศโดยมีจักรพรรดิเป็นศูนย์กลาง แต่ด้วยนโยบายชิงความเป็นใหญ่ของมหาอำนาจตะวันตก การปิดประเทศจึงทำได้ยากขึ้น
ทะเลอาวะนั้นแบ่งประเทศเป็นฟากตะวันออกกับฟากตะวันตก จากทางตะวันออกของทะเลอาวะไปคือดินแดนลี้ลับ  ด้วยการที่รับรู้ถึงอันตรายว่าหากปล่อยให้ต่างชาติแทรกแซงแบบนี้ต่อไป สุดท้ายจะต้องยอมเสียดินแดนตะวันออกให้  และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเริ่มมีผู้ผิดเพี้ยนรุนแรงเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากจากปราณแห่งหยินที่ไหลเข้ามา  จึงได้ตัดสินใจว่าก่อนอื่นจะต้องเริ่มสงครามปราบตะวันออกครั้งที่สองขึ้นเพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวสมบูรณ์
โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่รออยู่ ณ อีกฟากของทะเลอาวะนั้นอันตรายแค่ไหน……

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : คำว่า อาชิฮาระโนะนาคาสึโคคุ(葦原中津国) ของเกมนี้นั้นจงใจให้ไปคล้ายกับคำว่า อาชิฮาระโนะนาคาสึคุนิ(葦原中国) ซึ่งหมายถึงโลกมนุษย์ในตำนานเทพญี่ปุ่น




เอโดะ (ผืนดินที่แปดเปื้อน)
ครึ่งซีกตะวันออกของชินชู  ตั้งอยู่ ณ อีกฟากของทะเลอาวะ  เป็นดินแดนลี้ลับ
เป็นที่อาศัยของเหล่าอสูรร้ายซึ่งตอนปราบตะวันออกเมื่อสามร้อยปีก่อนได้ทำลายกองทัพเกินสองแสนของเหล่าขุนศึกลงอย่างราบคาบในการปะทะกันครั้งแรก
ที่ดินแดนแห่งนี้ไม่ถูกค้นพบเป็นเวลานานนั้นเป็นเพราะทะเลอาวะกับทะลนอกนั้นปกคลุมไปด้วยหมอกหนาที่ไม่มีวันจางหายกับพายุที่ไม่มีวันสงบมาตลอด
เป็นสภาพธรรมชาติราวกับจะปฏิเสธไม่ให้บุกรุกเข้าไป แต่ในด้านวิทยาการนั้น การข้ามทะเลก็สามารถเป็นไปได้เมื่อสามร้อยปีก่อน
เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าปัจจุบันนี้เองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หากเป็นบรรดาต่างชาติที่ข้ามทะเลนอกเข้ามาได้แล้วล่ะก็ คงจะฝ่าเข้าไปได้อย่างง่ายดายแน่นอน เพราะแบบนั้น หากถูกแซงหน้าไปก่อนล่ะก็จะต้องเสียดินแดนตะวันออกให้กับพวกเขาไป

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล
- คำว่า เอโดะ (穢土, แปลตามตัวอักษรได้ว่า ผืนดินที่แปดเปื้อน) นั้น ในทางพุทธแล้วหมายถึงโลกนี้ซึ่งเป็นที่อาศัยของเหล่าชีวิตที่ไม่อาจหลุดพ้นจากกิเลสและความลุ่มหลงได้ คำนี้ถูกใช้เป็นคำตรงข้ามกับ โจโดะ
- คำว่า โจโดะ (浄土, แปลตามตัวอักษรได้ว่า ผืนดินอันบริสุทธิ์) นั้น ในทางพุทธศาสนามหายานแล้วหมายถึง วิสุทธิภูมิซึ่งก็คือดินแดนของพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ ว่ากันว่าเป็นดินแดนที่ไร้ซึ่งกิเลสและความทุกข์ ผู้ที่หลังตายแล้วได้ไปสู่วิสุทธิภูมิจะใช้ชีวิตปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นเพื่อบรรลุนิพพานต่อไป วิสุทธิภูมิที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ สุขาวดี(極楽浄土) ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า




โฮสึมะ
เมืองหลวงแห่งชินชูซึ่งองค์จักรพรรดิทรงประทับอยู่
ในทางภูมิศาสตร์แล้วอยู่ตรงหน้าทะเลอาวะ  หากมองจากทั้งโลก ปัจจุบันก็ถือว่าอยู่สุดขอบตะวันออกของโลกมนุษย์
เนื่องจากอยู่ติดกับเอโดะ จึงหวั่นเกรงกันอยู่ว่าอาจจะถูกความแปดเปื้อนกลืนกิน แต่หากมองภูมิประเทศในด้านอาคมแล้วดูเหมือนที่นี่จะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด การวางผังเมืองที่ได้ใส่อาคมเข้าไปด้วยนั้นทำให้เมืองกลายเป็นวงเวทสี่เหลี่ยมที่ไม่ยอมให้ปราณแห่งหยินเข้าใกล้

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : คำว่าโฮสึมะ(秀真) ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงชุดตัวอักษรแบบหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นชุดตัวอักษรที่ญี่ปุ่นใช้กันก่อนที่จะรับอักษรคันจิเข้ามาจากจีน




ฟุวาโนะเซกิ (ด่านแห่งความไม่สงบ)
อยู่ ณ อีกฟากหนึ่งซึ่งพ้นจากทะเลอาวะไป อาจเรียกได้ว่าเป็นประตูทางเข้าสู่เอโดะ
เป็นผืนดินแห่งโชคชะตาที่ในการปราบตะวันออกเมื่อสามร้อยปีก่อน กองทัพฝั่งตะวันตกในตอนนั้นได้พินาศลง  ทว่า ทัศนียภาพนั้นสวยจนน่าอันตราย
กองกำลังปราบตะวันออกในยุคสมัยของพวกรินโดเองก็จะได้เผชิญกับการต้อนรับอันแสนชั่วร้ายที่ผืนดินแห่งนี้เช่นกัน




ฟูจิ (มีหนึ่งไม่มีสอง)
จะเรียกยอดเขาที่สูงที่สุดในชินชู กับทะเลป่าที่แผ่ขยายออกไป ณ ตีนเขานั้นกันว่าฟูจิ------ผืนดินแห่งปราณวิญญาณซึ่งในโลกนี้มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
นอกจากนี้ชื่อนี้ยังมีความหมายว่า ไม่มีวันตายอีกด้วย  ถ้ำขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายออกไปใต้ดินนั้นราวกับเป็นดินแดนโยมิก็มิปาน  ว่ากันว่าในส่วนที่ลึกที่สุดของเขาวงกตนั้นมีอาวุธทรงพลังหลับใหลอยู่ แต่จะจริงเท็จยังไงนั้นก็มิอาจทราบได้

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล
- โยมิ(黄泉) คือดินแดนแห่งความตายในความเชื่อทางชินโตของญี่ปุ่น
- คำว่า ฟูจิ” (不二) ของเกมนี้นั้นจงใจให้ไปพ้องเสียงกับคำว่า ฟูจิ(富士) ของภูเขาไฟฟูจิ




คินาสะ (หมู่บ้านไร้อสูร)
ประเทศเล็กๆกลางภูเขาที่เทนมะ โมมิจิปกครองอยู่โดยตรง
มีลักษณะเหมือนเป็นเมืองรอบปราสาท รูปลักษณ์ภายนอกไม่มีความผิดปกติอยู่เลยแม้แต่น้อย
มีผู้อยู่อาศัยที่มองยังไงก็คิดได้แค่ว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาหลายหมื่นคน พวกเขาเคารพเทิดทูนโมมิจิ พร้อมกับใช้ชีวิตในแต่ละวันไปอย่างขยันขันแข็งและมีความสุข
ในความหมายหนึ่งแล้วอาจเป็นพื้นที่ที่ผิดปกติที่สุดในเอโดะก็เป็นได้




Glossary

อภิธานศัพท์




วงล้อแห่งดอกรินโดทั้งห้า
ชื่อเรียกโดยรวมของตระกูลนักรบทรงอำนาจซึ่งเป็นกำลังหลักในการปราบตะวันออกเมื่อสามร้อยปีก่อนและปัจจุบันเองก็รอดจากการเสื่อมถอยมาได้
ประกอบด้วยห้าตระกูลโดยอันดับหนึ่งคือตระกูลโคงะ ตามด้วยตระกูลจูอิน, โรคุโจ, อิวาคุระ และจิงุสะ
โดยตำแหน่งแล้วพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในฐานะข้ารับใช้ของจักรพรรดิ แต่เบื้องหลังนั้นต่างก็คิดแต่จะผลักตระกูลอื่นให้ร่วงลงไปแล้วกุมอำนาจไว้ในมือ
อนึ่ง ฮาบาคินั้นเป็นญาติห่างๆของตระกูลโคงะ และโซจิโร่มีศักดิ์เป็นข้ารับใช้ของตระกูลจูอิน

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : คำว่า 五つ竜胆車ซึ่งผู้แปลเลือกที่จะแปลว่า วงล้อแห่งดอกรินโดทั้งห้า นั้นเป็นตราประจำตระกูลแบบหนึ่งของญี่ปุ่น




สำนักมิคาโดะ
หน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลบรรดาพวกผู้ใช้อาคมในชินชู และจะเรียกการรวมกลุ่มของเหล่าผู้ใช้อาคมเช่นนั้นว่ากลุ่มมิคาโดะด้วย
เป็นเหล่าผู้ที่ใช้ชีวิตโดยยึดเอาคาถาอาคม, วิชาองเมียว, การปราบปีศาจ, วิชานักพรต, การติดต่อสื่อสารกับเทพและเข้าทรง, การแยกแยะลางดีลางร้าย, การอธิษฐานขอรับการปกปักรักษา, การสยบมาร, การสาปแช่งให้ตาย หรืออื่นๆอีกมากมาย เป็นวิชาชีพเลี้ยงตัว  โดยพื้นฐานแล้วจะไม่ถูกกับพวกนักรบซึ่งต่อสู้โดยใช้ดาบและหอก
ด้วยเหตุนั้น ถ้าไม่นับตระกูลโคงะที่ผู้นำตระกูลสนิทกับเจ้าสำนักแล้ว การที่ถูกตระกูลนักรบเกือบทั้งหมดถอยออกห่างอยู่จึงเป็นสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็ได้รับการให้ความสำคัญจากบรรดาเชื้อพระวงศ์เช่นจักรพรรดิ เป็นอย่างมาก
ดูเผินๆแล้วมักจะถูกมองว่าเป็นเหล่าผู้มีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั้นคือทักษะ  ริวเมย์กล่าวไว้ว่าหากเรียนรู้ ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้
นี่เป็นเพราะไม่มีแนวคิดเรื่องเทพ, พระพุทธเจ้า กับศาสนา  และเป็นเพราะถึงจะบอกว่าเป็นอาคม แต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่จะขอยืมพลังจากตัวตนอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือล้ำขึ้นไป กล่าวคือไม่ได้มีลักษณะพึ่งพาสิ่งอื่นนั่นเอง
แต่ยังไงก็เป็นวิชาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง ไม่สามารถทำสิ่งที่เกินเลยไปกว่าขอบเขตนั้นได้




สำนักคุโจโคจิน (สำนักคุโจอัญเชิญเทพ)
ชื่อสำนักของตระกูลคุโจซึ่งมีหน้าที่อารักขาราชวงศ์ในฐานะผู้ปกป้องพระราชวังมารุ่นต่อรุ่น
ตัวตนที่แท้จริงของวิชานี้คือศิลปะการต่อสู้ที่เป็นศาสตร์การต่อสู้มือเปล่าซึ่งได้รับการขัดเกลาจนถึงขีดสุด
เนื่องจากเป็นราชองค์รักษ์ จึงไม่สังกัดกับทั้งตระกูลนักรบและสำนักมิคาโดะ
การต่อสู้กับคุโจนั้นมีความหมายเทียบเท่ากับการง้างธนูไปหาราชวงศ์ จึงไม่มีสถิติการประลองกับสำนักอื่น และปัจจุบันก็ถูกทำเหมือนเป็นกึ่งๆตำนานไป
ด้วยเหตุนี้ ในด้านการต่อสู้ตัวต่อตัว การยกให้ตระกูลคุโจแข็งแกร่งที่สุดในชินชูเพียงแต่ในนามเลยกลายเป็นธรรมเนียมไป แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีใครเชื่อเลยด้วย และพวกตระกูลคุโจเองก็ไม่มีวิธีพิสูจน์เรื่องนั้นด้วย
เรียกได้ว่าเป็นเหล่าผู้คนที่แม้จะได้รับเกียรติยศเป็นที่เลื่องลือมากที่สุด แต่ในฐานะยอดฝีมือแล้วกลับไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม




ตระกูลเคียวเก็ตสึ
เหล่าผู้ถูกเคราะห์ร้ายและหายนะเข้าสิง  เป็นกลุ่มผู้มีพลังพิเศษที่ว่ากันว่าแค่มีตัวตนอยู่ก็แพร่กระจายเคราะห์ร้ายสู่รอบข้างแล้ว
พลังพิเศษของพวกเขาถูกเรียกว่ามางาสึกิ (ภัยร้ายเข้าสิง) เป็นพลังที่จะก่อให้เกิดเหตุร้ายขึ้นเพื่อเจ้าตัว เหตุร้ายที่เกิดขึ้นนั้นมีลักษณะไม่ตายตัวเลยแม้แต่น้อย แม้จะมีผู้ที่ควบคุมได้ว่าจะให้พลังทำงานเมื่อไรอยู่ แต่ก็ไม่มีผู้ที่กำหนดได้ดั่งใจว่าจะให้อะไรเกิดขึ้นอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้มางาสึกิจึงเป็นที่รังเกียจว่าเป็นหายนะเดินได้ และโดยทั่วไปแล้วจะถูกห้ามออกจากหมู่บ้านลับ
ลักษณะของตระกูลนี้เป็นครอบครัวหนึ่งก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด จะเรียกว่าเป็นครอบครัวที่เหล่าผู้ที่พลังมางาสึกิลืมตาตื่นเหมือนกันมารวมตัวกันก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้น จะว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลยก็ไม่ใช่ พวกเขาเป็นตายร่วมกัน หากคนหนึ่งใช้พลัง ผลสะท้อนกลับนั้นก็จะมุ่งไปหาใครสักคนในตระกูลด้วยเช่นกัน  จากลักษณะเด่นเช่นนั้น จึงได้รับการมองว่าแม้จะอันตราย แต่ก็เป็นไพ่ตายในการปราบตะวันออกคราวนี้
ทว่า มีแค่ซาคุยะซึ่งเป็นมางาสึกิระดับความบริสุทธิ์สูงสุดเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น ผลสะท้อนกลับของเธอจะมุ่งไปที่ใดนั้นก็มิอาจทราบได้




การประลองต่อหน้าพระพักตร์
คางุระ (รำบวงสรวงเทพ) ที่ใช้ดาบต่อสู้กัน ซึ่งมีกำหนดการจะจัดขึ้นต่อหน้าองค์จักรพรรดิก่อนจะเริ่มการปราบตะวันออก
เบื้องหน้านั้นบอกไว้ว่ามีเป้าหมายเพื่อเรียกจิตวิญญาณนักรบกลับคืนมาและรับสมัครชายผู้กล้าที่จะมาปลุกใจเหล่าทหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วคือสงครามตัวแทนของตระกูลนักรบทั้งห้า
กล่าวคือ ใครจะได้กุมอำนาจทางการทหารในฐานะแม่ทัพปราบตะวันออกนั่นเอง
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการประลองนี้คือการแสดงอำนาจทางการทหารของตระกูลต่อหน้าองค์จักรพรรดิเพื่อให้ได้ตำแหน่งนั้นมาไว้ในมือ
ด้วยเหตุนี้ การประลองต่อหน้าพระพักตร์จึงกำหนดให้เป็นการประลองถึงตายที่ใช้ดาบจริง
รินโดนั้นไม่อาจเก็บซ่อนความไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ได้
งานคางุระเลือดนี้จะเป็นการพบพานกันของพวกฮาบาคิ




ความผิดเพี้ยน
ผู้มีพลังพิเศษที่เริ่มมีเกิดขึ้นมาที่ฝั่งตะวันตกหลังจากการปราบตะวันออกเมื่อสามร้อยปีก่อน
กล่าวกันว่าเป็นเพราะได้ล่วงล้ำเขตแดนไปครั้งหนึ่งแล้ว ถึงได้เริ่มมีพิษเจือปนอยู่ในโลกมนุษย์




ระดับความแปดเปื้อน
การแปลงระดับความแปดเปื้อนของมนุษย์แต่ละคนเป็นตัวเลข ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดขึ้นมาในยุคสมัยหลังจากที่ความผิดเพี้ยนที่กล่าวไปข้างต้นเกิดขึ้น ประชาชนทุกคนจะต้องเข้ารับการตรวจวัดระดับความแปดเปื้อน และผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าได้รับความแปดเปื้อนในระดับความเข้มข้นสูงจะถูกจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการประหารชีวิตด้วย
ได้กำหนดให้ความแปดเปื้อนนี้เป็นหยินซึ่งห่างออกไปจากกฎเกณฑ์ของโลก ในทางกลับกัน ความชำนาญของศาสตร์ต่างๆซึ่งอยู่ภายในกฎเกณฑ์ของโลกนั้นได้กำหนดให้เป็นหยางแล้วมีการจัดระดับความสามารถเป็นขั้นๆอยู่
ตามจริง การที่หยินหยางผสมกลมกลืนกันแล้วสมบูรณ์นั้นคือสรรพสิ่ง การจำแนกแบบนี้จึงไม่เหมาะสม แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีเหตุผลบางอย่างอยู่




ศาสตร์แห่งหยาง
ทักษะจำพวกศาสตร์การต่อสู้, คาถาอาคม หรือวิชาความรู้ เป็นสิ่งที่ได้มาโดยการเรียนรู้และเป็นวิชาของมนุษย์
หมายถึงสิ่งที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ และอยู่ภายใต้กรอบของกฎเกณฑ์นั้น
ทักษะระดับสูงนั้น แม้มองจากระดับต่ำกว่าแล้วจะเห็นเป็นสิ่งที่ผิดไปจากสามัญสำนึก แต่ยังไงก็ไม่ได้ห่างออกไปจากกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง ดังนั้น สิ่งที่ทำได้กับสิ่งที่ทำไม่ได้จึงชัดเจน ให้พูดสั้นๆจะเรียกอีกอย่างว่าเป็นพลังที่สามารถอธิบายได้ก็ว่าได้
โดยปกติแล้ว หากเป็นมนุษย์ คุณสมบัติหยางนั้นไม่ว่าใครก็มี

หนึ่ง ถึง สี่
ขอบเขตทั่วไปที่รวมพวกชาวบ้านชาวเมืองเข้าไปด้วย  แล้วเนื่องจากมีจำนวนคนมากที่สุด ทำให้แม้จะเป็นขั้นเดียวกันก็มีความแตกต่างหลากหลาย และความต่างชั้นระหว่างแต่ละขั้นเองก็มากเช่นกัน  ผู้ที่อยู่อย่างน้อยขั้นสามขึ้นไปนั้นจะเรียกว่าเป็นผู้มีความสามารถในระดับแนวหน้าของแต่ละสาขาวิชาก็ได้ ถึงอย่างนั้นก็แทบไม่มีผู้ที่สามารถก้าวข้ามขอบเขตนี้ไปได้เลย จะดีร้ายยังไงก็เป็นขอบเขตของมนุษย์ธรรมดาสามัญ

ห้า ถึง เจ็ด
อาณาเขตของเหล่ายอดฝีมือซึ่งมีเพียงผู้ที่เพียบพร้อมทั้งพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิด, การฝึกฝนขัดเกลาจนถึงขีดสุด แล้วก็ประสบการณ์เท่านั้นที่จะไปถึงได้ มีความต่างชั้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับขั้นสี่ลงไป จะเรียกว่าเป็นอาณาเขตของเหล่าผู้ถูกเลือกก็ว่าได้ สามารถทำเรื่องที่แค่เป็นไปได้ในทางทฤษฎีแต่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเลียนแบบได้เลย ออกมาได้

แปด ถึง สิบ
จุดสูงสุดของมนุษย์ เป็นอาณาเขตที่ควรค่ากับการเรียกว่าในกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้แล้วหาผู้ใดเปรียบ ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าเป็นหนึ่งในยุคสมัยจึงเป็นคำกล่าวที่ผิด เพราะไม่ใช่สิ่งที่จะมีตัวตนอยู่ในทุกยุคทุกสมัย การประเมินว่าเป็นผู้ที่หาไม่ได้อีกแล้วซึ่งเหนือกว่ายอดฝีมือน่าจะถูกต้องกว่า




พลังพิเศษแห่งหยิน
พลังพิเศษที่ไม่ถูกจำกัดไว้ในกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง ในทางกลับกันควรจะเรียกว่าเป็นพลังที่บิดเบือนกฎนั้นซะด้วยซ้ำ เป็นพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่มีหลักการและไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ใครก็มีกัน ผู้ที่มีคุณสมบัตินี้นั้นมีอยู่เพียงหยิบมือจากทั้งหมด
โดยทั่วไปแล้วจะตีความกันว่าเป็นพิษที่ไหลมาจากเคไก (นอกอำนาจการปกครอง) ที่อยู่ทางฟากตะวันออก  เหล่าผู้ที่มีหยินสถิตอยู่จะตกเป็นเป้าของความหวาดกลัว, ความเกลียดชัง แล้วก็ความอิจฉาที่บิดเบี้ยว

หนึ่ง ถึง สี่
เป็นพลังพิเศษที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากนัก เป็นระดับที่ขอแค่ซ่อนไว้ก็จะไม่ถูกรอบข้างรับรู้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นระดับที่สามารถควบคุมได้ด้วย จะเรียกว่าเหมาะแก่การใช้งานจริงก็ว่าได้  สำหรับผู้ที่มีทักษะหยางขั้นสูงแล้วคงจะให้ผลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์มหาศาล แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วก็ถือเป็นคำสาปโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นเพราะว่าระดับความอันตรายต่ำ จึงตกเป็นเป้าชั้นดีในการแบ่งแยกและกีดกัน

ห้า ถึง เจ็ด
ความผิดเพี้ยนนั้นอยู่ในขอบเขตของมารซึ่งห่างออกจากความเป็นมนุษย์ และเนื่องจากมีพลังที่ทำให้ปรากฏการณ์ที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นมาได้ จึงถูกทำเป็นเหมือนเรื่องล้อเล่นไปเรียบร้อยแล้ว
ลักษณะเฉพาะของผู้ที่อยู่ในขอบเขตนี้อย่างหนึ่งคือตายยากมาก พลังกายพื้นฐานจะพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่ทราบเหตุผล
นอกจากนี้ การจะควบคุมพลังพิเศษได้หรือไม่นั้นต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล แต่จุดที่สามารถพูดได้ว่าเหมือนกันก็คือคนปกติจะรู้สึกได้ถึงความผิดแปลกอย่างรุนแรง บรรยากาศผิดแปลกที่พวกเขามีนั้นต่อให้เป็นคนที่ทึ่มขนาดไหนก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้

แปด ถึง สิบ
ให้พูดสั้นๆก็คือภัยพิบัติ เป็นพลังพิเศษในหมู่พลังพิเศษที่ถูกบรรยายเช่นกัน อยู่ในขอบเขตที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น แค่มีตัวตนอยู่ก็แพร่กระจายความผิดเพี้ยนไปสู่รอบข้างแล้ว มีลักษณะเฉพาะตัวคือยังไงก็ตายยาก แต่นั่นไม่ใช่เพราะจากความแข็งแรงของร่างกาย แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ต่างกันออกไป




ไท่จี๋
ผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ในฐานะทักษะ และไม่สังกัดอยู่กับทั้งหยินและหยาง กล่าวกันว่าเป็นภาชนะสำหรับก่อกำเนิดกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้น บ้างก็ว่ามีคุณสมบัติของพระเจ้า

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : “ไท่จี๋(太極) นั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในบางความเชื่อของจีน กล่าวกันว่าเป็นรากเหง้าแห่งการก่อกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง โดยไท่จี๋จะแยกตัวออกมาเป็นหยินกับหยาง




เคไก (นอกอำนาจการปกครอง)
เหล่ามารชั่วร้ายซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดที่อาศัยในดินแดนเอโดะซึ่งอยู่ ณ อีกฟากของทะเลอาวะ  เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าสึจิงุโมะ
ไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยว่ามีจำนวนเท่าไรหรือตัวจริงนั้นคืออะไรกันแน่
เรื่องที่รู้คือพวกมันอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ต่างไปจากโลกมนุษย์ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกโดยสิ้นเชิง
เป็นตัวตนที่อันตรายมาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ข้ามทะเลอาวะบุกเข้ามายังฝั่งตะวันตก

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล
- สึจิงุโมะ(土蜘蛛, แปลตามตัวอักษรได้ว่า แมงมุมดิน) นั้นเป็นคำเรียกรวมๆของชนเผ่าที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของราชสำนักในสมัยยามาโตะ
- ยุคสมัยยามาโตะเป็นคำที่ใช้เรียก ยุคสมัยโคฟุง(古墳時代, Kofun period) และ ยุคสมัยอาสึกะ(飛鳥時代, Asuka period) รวมกัน
- ในยุคสมัยให้หลัง สึจิงุโมะ ยังกลายเป็นชื่อของอสูรกายที่มีรูปร่างเป็นแมงมุมยักษ์อีกด้วย




ยาสึคาฮางิ
พญามารที่ทำลายกองกำลังปราบตะวันออกจนราบคาบเมื่อสามร้อยปีก่อน เป็นหัวหน้าของพวกเคไก ว่ากันว่ามีอยู่แปดตน
พลังเหนือธรรมชาติของพวกมันนั้นสุดที่จะบรรยาย ตามตำนานว่ากันว่ามีร่างกายใหญ่โตยิ่งกว่าขุนเขา
ไม่อยู่ในขอบเขตที่สามารถเรียกว่าอสูรกายได้แล้ว การเรียกว่าเป็นเหล่าเทพของอีกโลกหนึ่งอาจจะถูกต้องกว่าก็เป็นได้

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : คำว่า ยาสึคาฮางิ(夜都賀波岐) ของเกมนี้นั้นจงใจให้ไปพ้องเสียงกับคำว่า ยาสึคาฮางิ(八束脛) ที่เป็นคำเรียกอีกอย่างหนึ่งของสึจิงุโมะ




ซุยจินโซ (รูปลักษณ์แห่งเทพ)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คามุนางาระ
เป็นรูปลักษณ์ของพลังแห่งเทพซึ่งจะปรากฏออกมาในตอนที่ตัวตนระดับไท่จี๋ก่อร่างกฎเกณฑ์ของตนขึ้นมา โดยจะเป็นพลังและความเชื่อของแต่ละตนที่ก่อขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง จะเรียกว่าเป็นนิสัยที่แท้จริงก็ว่าได้ ซุยจินโซแต่ละอันนั้นคือการปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมของกฎเกณฑ์ที่พวกเขาแต่ละตนปรารถนา
ไม่ต้องบอกก็เข้าใจได้ว่ายิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งเท่าใด ซุยจินโซก็มีแนวโน้มที่จะมีขนาดใหญ่โตขึ้นเท่านั้น ซุยจินโซของยาสึคาฮางินั้นใหญ่ยิ่งกว่าขุนเขา และในบรรดานั้นเอง ซุยจินโซของยาโตะนั้นใหญ่มหึมาขนาดปกคลุมหมดทั่วทุกพื้นที่ในเอโดะ เทียบกันแล้ว อย่างมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ามดจริงๆ ตรงตัวตามตัวอักษร
ไม่ว่าจะยาสึคาฮางิตนไหน ต่างก็มีซุยจินโซที่มีรูปลักษณ์เหมือนสัตว์แห่งการทำลายล้างที่น่าเกลียดน่ากลัวทั้งสิ้น แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่พวกรินโดซึ่งเป็นมนุษย์ฝั่งตะวันตกเห็น จึงเรียกว่าเป็นการประเมินที่ยุติธรรมได้ยาก บางทีหากมองจากมุมมองของพญามารอย่างพวกเขาแล้วอาจจะเห็นว่าฝั่งตะวันตกนี่ล่ะที่เป็นมารน่ารังเกียจก็เป็นได้ ในความหมายนั้นเองก็คงสามารถกล่าวได้ว่าทั้งสองกองกำลัง ตะวันตกและตะวันออกนั้นไม่อาจปรองดองและอยู่ร่วมกันได้




ชินโก (นามแห่งเทพ)
พลังแห่งชื่อซึ่งตัวตนระดับพระเจ้ามี หากมีกรณีที่เอ่ยนามนี้แล้วสามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ ในทางกลับกันก็มีกรณีที่หากถูกอีกฝ่ายล่วงรู้จะกลายเป็นจุดอ่อนถึงฆาตอยู่เช่นกัน
ชื่อของยาสึคาฮางิที่รู้กันในปัจจุบันนั้นต่างก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ฝั่งตะวันตกตั้งให้เมื่อครั้งการปราบตะวันออกในอดีต จึงไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น แน่นอนว่าพวกเขาจะเรียกกันเองด้วยชื่ออื่น  ทว่า นั่นก็เป็นอาคมซึ่งสูญหายจากโลกใบนี้ไปแล้ว มนุษย์ฝั่งตะวันตกจึงไม่สามารถออกเสียงหรือรับรู้ชื่อเหล่านั้นได้




วิชาอุโฮ (วิชาย่างเท้าขจัดเคราะห์)
สิ่งต่างๆล้วนมีทิศทางแห่งเคราะห์ในเวลานั้นๆอยู่ นี่คือวิชาการย่างเท้าแบบพิเศษเพื่อปิดผนึกมัน พูดง่ายๆก็คือเป็นการลบจุดบอดด้วยการเปลี่ยนทิศทางการหัน วิชานี้ยังใช้ได้กับพวกจิตใจหรือกฎเกณฑ์อีกด้วย การที่เรียกว่า อุโฮจึงเป็นเพียงเพื่อความสะดวก  สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายสาขาวิชา ตั้งแต่ใช้เป็นแค่การเปลี่ยนบรรยากาศแบบหนึ่ง ไปจนถึงการป้องกันทางวิญญาณระดับสูง
ด้วยเหตุนี้ ผู้ชำนาญวิชานี้จึงเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่  เนื่องจากทำลายจุดอ่อนของตนเองอยู่เสมอ ทำให้อยู่ยงคงกระพันมาก
จุดบอดนั้นมีอยู่ในทุกสรรพสิ่งเสมอ ทว่า ตามหลักเหตุผลแล้ว ผู้อ่อนแอจะไม่สามารถรับรู้ถึงช่องโหว่ของผู้แข็งแกร่งได้ ในทางกลับกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาของผู้แข็งแกร่งแล้ว ของอย่างอุโฮของผู้อ่อนแอก็ใช้ไม่ได้ผล  เรื่องนี้อาจพอถูไถได้บ้างมากน้อยตามความชำนาญของวิชา แต่โดยปกติแล้วการมีมุมมองระดับเดียวกับอีกฝ่ายนั้นคือเงื่อนไขพื้นฐานและยังเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ในการต่อสู้
หากให้ยกตัวอย่างจากกองกำลังปราบตะวันออก ผู้ที่มีสายตายอดเยี่ยมคือโซจิโร่ ผู้ที่เชี่ยวชาญในการปกปิดจุดบอดคือชิโอริ ผู้ที่แข็งแรงอยู่ยงคงกระพันคือเหล่าผู้มีความผิดเพี้ยนระดับสูงอย่างพวกฮาบาคิ และที่ยอดเยี่ยมในทุกๆด้านที่กล่าวมานั้นคือยาโค
ทว่า ต่อให้เป็นพวกเขาก็มิอาจทลายการป้องกันของเหล่าพญามารได้โดยง่าย ในสภาพปัจจุบันแล้วจะเรียกว่าห่างชั้นกันขนาดเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : “อุโฮ(禹歩) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เฮนไบ(反閇) คือการร่ายอาคมไปพร้อมๆกับย่างเท้า  ในยามที่จักรพรรดิหรือขุนนางจะออกไปข้างนอก องเมียวจิจะทำการย่างเท้าแบบพิเศษไปพร้อมกับร่ายอาคม เพื่ออธิษฐานให้ปลอดภัยในการเดินทาง




ค่าพลังของกำลังหลักแห่งกองกำลังปราบตะวันออก

ซาคางามิ ฮาบาคิ
ห้าของหยาง เจ็ดของหยิน

ศาสตร์การต่อสู้แห่งหยางระดับหาตัวจับยาก และเสริมความเฉียบคมของประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นอย่างมากด้วยหยิน
ตัวตนที่แท้จริงของพลังพิเศษนั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่ช่ำชองในการซ่อนตัวลักษณะหนึ่งอยู่
แม้จะมีความผิดเพี้ยนระดับที่ตามจริงแล้วไม่สามารถปกปิดไว้ได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นมือสมัครเล่นแล้วล่ะก็แทบจะกลบเกลื่อนไว้ได้โดยสมบูรณ์ ผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้นั้นมีแค่เขาคนเดียว




โคงะ รินโด
สี่ของหยาง

นักดาบและมือธนูผู้มีฝีมืออยู่ในระดับสูงสุดในขอบเขตของมนุษย์ธรรมดา
หากพิจารณาจากสถานภาพของเธอแล้วก็จัดว่าควรค่าแก่การชื่นชม แต่สำหรับตัวรินโดเองนั้นดูเหมือนว่านั่นจะถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม
การประเมินของริวเมย์บอกไว้ว่านี่คือมาถึงขีดจำกัดสูงสุดที่สามารถไปถึงได้แล้ว ทว่า ……




เคียวเก็ตสึ เคย์ชิโร่
ห้าของหยาง หกของหยิน

ศาสตร์การต่อสู้แห่งหยางระดับหาตัวจับยาก และเสริมความเฉียบคมของประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นอย่างมากด้วยหยิน
ควบคุมพลังมางาสึกิได้อย่างสมบูรณ์ โดยรวมแล้วถือเป็นคนที่สมดุลที่สุด
ทว่า ตัวเขานั้นกลัวว่าผลสะท้อนกลับจะไปหาซาคุยะ ปัจจุบันจึงปิดผนึกพลังมางาสึกิไว้อยู่




เคียวเก็ตสึ ซาคุยะ
หนึ่งของหยาง สิบของหยิน

ร่างกายไม่ต่างไปจากมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไป เป็นเด็กสาวอ่อนแอตามรูปลักษณ์ที่เห็น
ทว่า ก็เป็นมางาสึกิที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งมีหยินระดับพิเศษสถิตอยู่ หากเผลอไปแตะตัวเข้าโดยไม่ระมัดระวังก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
ปัจจุบันสำนักมิคาโดะทุ่มกำลังทั้งหมดช่วยกันผนึกไว้อยู่ แต่ก็เป็นเหมือนลูกระเบิดที่ไม่มีหลักประกันอะไรรับรองทั้งสิ้นว่าผนึกนั้นยังคงทำงานอยู่




มิบุ โซจิโร่
หกของหยาง สี่ของหยิน

ในด้านศาสตร์การต่อสู้นั้นเหนือกว่าฮาบาคิและเคย์ชิโร่ ความสามารถในการอ่านขาดสิ่งต่างๆอย่างทะลุปรุโปร่งได้รับการขัดเกลาจนถึงขีดสุด ขนาดที่สามารถหักล้างความแตกต่างของสมรรถภาพทางกายได้
พลังพิเศษแห่งหยินนั้นไม่ทราบแน่ชัด แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรแบบไหน
ทว่า จากข้อเท็จจริงแล้วดูเหมือนผู้ที่ปะดาบกับเขานั้นจะตายทุกคน ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไรก็ตาม




คุโจ ชิโอริ
เจ็ดของหยาง สามของหยิน

หลักๆแล้วโดดเด่นในด้านพลังกาย เช่น มีร่างกายที่ทนทานและพละกำลังมหาศาลจากวิชาควบคุมลมหายใจและวิชาควบคุมลมปราณ มีพลังฟื้นตัวจากการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ เป็นต้น
ถ้านับแค่ศาสตร์การต่อสู้แห่งหยางเพียงอย่างเดียวแล้วล่ะก็มีฝีมือเหนือชั้นกว่าพวกผู้ชายอีก ส่วนพลังพิเศษแห่งหยินนั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่เจ้าตัวบอกไว้ว่าเป็นสิ่งที่ใช้ได้ผลดีมากในการต่อสู้จริง




มาดาระ ยาโค
ไท่จี๋ : ไร้รูป

ไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงและไม่สามารถประเมินได้
จนริวเมย์ต้องบอกว่าศาสตร์ของยาโคนั้นเป็นของของยาโคเพียงคนเดียว ข้อเท็จจริงนั้นคือทุกสิ่ง
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นศาสตร์ที่รังสรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นไท่จี๋ซึ่งสามารถกลายเป็นแกนกลางอันใหม่ได้
ที่เรียกว่าไร้รูปนั้นเป็นเพราะทุกคนรวมถึงตัวยาโคเองไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าหลังจากนี้จะเติบโตไปเช่นใด




มิคาโดะ ริวซุย
สี่ของหยาง หนึ่งของหยิน

ยังอยู่ระหว่างการฝึกฝน ด้านทักษะนั้นด้อยกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
แต่หากมองในทางกลับกันก็สามารถเรียกได้ว่ากำลังเติบโต จึงถือเป็นคนที่มีความเป็นไปได้เหลือให้พัฒนาไปมากที่สุด
พลังพิเศษแห่งหยินนั้นเป็นพลังล่วงรู้อนาคต แต่นั่นเองก็อยู่ระหว่างการเติบโตเช่นกัน พลังที่แท้จริงอาจจะมีรูปร่างที่ต่างกันออกไปก็เป็นได้




นิโกะ
ห้าของหยิน

ฝ่ายหยินของชิกิกามิซึ่งสองตนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
โดยลำพังนั้นมีคุณสมบัติของหยินอย่างเดียวโดยสมบูรณ์ จึงไม่ถูกจำกัดอยู่ในกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
สามารถปรากฏตัวหรือหายตัวไปได้ในเสี้ยวพริบตาจริงๆตรงตัวตามความหมาย โดยบางครั้งยังไม่สนแม้แต่ห้วงมิติและเวลา
ปกติแล้วจะเป็นเพียงพาหนะสำหรับขี่ แต่หากให้เทย์เรย์ขึ้นขี่แล้วจะได้พลังต่อสู้ระดับยอดฝีมือเพิ่มมาด้วย




เทย์เรย์
ห้าของหยาง

ฝ่ายหยางของชิกิกามิซึ่งสองตนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ฝีมือด้านศาสตร์การต่อสู้นั้นไม่จำเป็นต้องสงสัย ทักษะทุกอย่างที่สังกัดอยู่กับหยางนั้นอยู่ในระดับยอดฝีมือ
แค่ตนเดียวก็แข็งแกร่งมากแล้ว แต่ด้วยการขึ้นขี่นิโกะ ทำให้ได้พลังพิเศษในการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับสุดยอดเพิ่มมาด้วย




มิคาโดะ ริวเมย์
สิบของหยาง

อยู่ในขอบเขตซึ่งเป็นจุดสูงสุดของทั้งวิชาความรู้และวิชาอาคม
แล้วในด้านศาสตร์การต่อสู้เองก็ว่ากันว่ามีฝีมืออยู่พอตัวเช่นกัน แต่จะจริงเท็จยังไงนั้นก็มิอาจทราบได้
หากไม่นับยาโคกับซาคุยะที่ความสามารถที่แท้จริงไม่อาจประเมินออกมาเป็นตัวเลขได้แล้ว จะเรียกว่าแข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังปราบตะวันออกก็ว่าได้
ทว่า ตัวริวเมย์เองนั้นกลับมีท่าทีเหมือนกับเย้ยหยันพลังของตัวเอง และจะรักษาระยะห่างออกไปอยู่เสมอ




จูอิน เรย์เซ็น
เจ็ดของหยาง

ในด้านศาสตร์การต่อสู้แบบตัวต่อตัวแล้วก็ไม่ได้มีความสามารถมากไปกว่าราวๆขั้นสี่ แต่คุณค่าที่แท้จริงของเขานั้นอยู่ที่การเป็นผู้บริหารงานทางการทหาร
ความสามารถในการปกครองของเขาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากความสามารถในการลงมือปฏิบัติจริง, อำนาจ และทรัพย์สมบัตินั้นเรียกได้ว่าเป็นสิ่งแน่นอน ถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านขุนพลระดับหาตัวจับยากในความหมายที่ต่างไปจากรินโด




ค่าพลังของกำลังหลักแห่งยาสึคาฮางิ

เทนมะ ยาโตะ
ไท่จี๋ : มหาอเวจีดอกบัวแดง

โลกซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลง กล่าวคือเป็นโลกที่มุ่งเน้นไปที่การไม่เสื่อมสลาย
ด้วยเหตุนี้ ทั้งตัวเขาและยาสึคาฮางิตนอื่นซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขานั้นจึงไม่สามารถทำลายได้ ตามข้อเท็จจริงแล้วเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
เพื่อล้มล้างสิ่งนี้จำเป็นต้องไปให้ถึงไท่จี๋ที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่ายาโตะ ทว่า ……

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : “นรกดอกบัวแดง(紅蓮地獄) นั้นเป็นนรกขุมหนึ่งในศาสนาพุทธ แต่ไม่มีอยู่ในความเชื่อของประเทศไทย




เทนมะ อาคุโระ
ไท่จี๋ : อเวจีเสียงกรีดร้อง

เนื่องจากอยู่ภายใต้อิทธิพลไท่จี๋อเวจีของยาโตะ ร่างเนื้อและพลังของอาคุโระจึงเป็นอมตะไปด้วย ไม่สามารถทำลายได้
เป็นจ้าวแห่งมหาสุสานฝังศพผู้แปรเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องลมหายใจ, ปราณ หรือแม้แต่สายตา ให้เน่าเปื่อยแล้วตายลง
เป็นสัตว์ประหลาดที่ถ้าอีกฝ่ายเป็นแค่มนุษย์ล่ะก็ ไม่ว่าจะมีจำนวนมากขนาดไหน แค่มองทีเดียวก็เปลี่ยนเป็นโคลนเน่าเปื่อยได้หมดแล้ว

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : ไท่จี๋ 無間叫喚地獄ของเทนมะ อาคุโระซึ่งผู้แปลเลือกที่จะแปลว่า อเวจีเสียงกรีดร้องนั้นเป็นการนำคำว่า 無間地獄 (นรกอเวจี) มาผสมกับคำว่า 叫喚地獄(โรรุวนรก) ซึ่งเป็นนรกขุมหนึ่งในศาสนาพุทธ




เทนมะ โมเรย์
ไท่จี๋ : อเวจีแผดเผา

เนื่องจากอยู่ภายใต้อิทธิพลไท่จี๋อเวจีของยาโตะ ร่างเนื้อและพลังของโมเรย์จึงเป็นอมตะไปด้วย ไม่สามารถทำลายได้
ตัวตนที่แท้จริงนั้นเป็นร่างอวตารของเพลิงร้อนระอุกับสายฟ้าซึ่งจะแผดเผาเป็นวงกว้างเกินกว่าที่ภูมิปัญญาของมนุษย์จะหยั่งถึง
ในหมู่พญามารด้วยกันแล้วจัดว่าเป็นพลังที่เรียบง่าย แต่เพราะแบบนั้นจึงไม่มีหนทางอื่นนอกจากบุกเข้าไปตรงๆ
ทว่า ผู้ที่สามารถประชันกับพลังเต็มที่ของเธอได้นั้น ไม่มีอยู่ในกองกำลังปราบตะวันออก

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : ไท่จี๋ 無間焦熱地獄ของเทนมะ โมเรย์ซึ่งผู้แปลเลือกที่จะแปลว่า อเวจีแผดเผานั้นเป็นการนำคำว่า 無間地獄 (นรกอเวจี) มาผสมกับคำว่า 焦熱地獄(ตาปนนรก) ซึ่งเป็นนรกขุมหนึ่งในศาสนาพุทธ




เทนมะ โมมิจิ
ไท่จี๋ : อเวจีคมดาบ

รายละเอียดไม่ทราบแน่ชัด
เป็นผู้นำของกลุ่มที่แม้จะเล็กแต่ก็สามารถเรียกว่าเป็นประเทศได้
ที่ทำให้สามารถทำเช่นนั้นได้นั้นดูเหมือนจะเป็นเพราะพลังของเธอ

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : ไท่จี๋ 無間等活地獄ของเทนมะ โมมิจิซึ่งผู้แปลเลือกที่จะแปลว่า อเวจีคมดาบนั้นเป็นการนำคำว่า 無間地獄 (นรกอเวจี) มาผสมกับคำว่า 等活地獄(สัญชีวนรก) ซึ่งเป็นนรกขุมหนึ่งในศาสนาพุทธ




เทนมะ นุมาฮิเมะ
ไท่จี๋ : อเวจีเชือกดำ

รายละเอียดไม่ทราบแน่ชัด
ดูเหมือนว่าความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะมางาสึกินั้น เกินครึ่งเป็นเพราะส่วนหนึ่งของพลังของเธอ
อาจกล่าวได้ว่าถือเป็นแม่สำหรับพวกซาคุยะก็ว่าได้

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : ไท่จี๋ 無間黒縄地獄ของเทนมะ นุมาฮิเมะซึ่งผู้แปลเลือกที่จะแปลว่า อเวจีเชือกดำนั้นเป็นการนำคำว่า 無間地獄 (นรกอเวจี) มาผสมกับคำว่า 黒縄地獄(กาฬสุตตนรก) ซึ่งเป็นนรกขุมหนึ่งในศาสนาพุทธ




เทนมะ โทโคโย
ไท่จี๋ : อเวจีภูเขาเหล็ก

รายละเอียดไม่ทราบแน่ชัด
ทว่า ดูเหมือนว่าถ้าโค่นเธอได้ กองกำลังภูตในเอโดะก็จะตกอยู่ในสภาพที่ขยับไม่ได้

* อธิบายเพิ่มเติมโดยผู้แปล : ไท่จี๋ 無間衆合地獄ของเทนมะ โทโคโยซึ่งผู้แปลเลือกที่จะแปลว่า อเวจีภูเขาเหล็กนั้นเป็นการนำคำว่า 無間地獄 (นรกอเวจี) มาผสมกับคำว่า 衆合地獄(สังฆาฏนรก) ซึ่งเป็นนรกขุมหนึ่งในศาสนาพุทธ




เทนมะ สุคุนะ
---------------------

รายละเอียดไม่ทราบแน่ชัด
มีข้อมูลว่าในยามที่เขาต่อสู้นั้น แม้จะเป็นพญามารพวกเดียวกันเองก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ และนั่นก็เป็นความหมายที่ต่างไปจากการทำลายเชิงกายภาพอย่างอาคุโระหรือโมเรย์




เทนมะ โอทาเกะ
---------------------

รายละเอียดไม่ทราบแน่ชัด
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นปริศนา




1 ความคิดเห็น: