[Spoil] Chapter 1 (Part 7)

posted on 6/07/2563 12:25:00 หลังเที่ยง by VermillionEnd Categories:
Chapter 1 (Part 7) : โทโนะ คานะ

ร้าน ฟอร์ซา ซากุระโนะโมรินั้นเป็นที่นิยม
เป็นร้านที่คึกคัก บรรยากาศดี แถมอาหารก็อร่อย แล้วยังราคาไม่แพงเกินไปสำหรับนักเรียนอีกด้วย

ฉันกับเพื่อนๆไม่ได้จริงจังกับกิจกรรมชมรมเท่าไรนัก มักจะใช้เวลาหลังเลิกเรียนจับกลุ่มคุยเล่นกันเฉยๆ
แต่ปัญหาคือเรื่องสถานที่
หากอยู่ในห้องเรียนตอนหลังเลิกเรียนโดยไม่มีเหตุจำเป็นก็อาจถูกครูดุเอาได้
แต่ร้านนอกโรงเรียนที่นักเรียนไปได้ก็มีจำกัด
บางร้านแค่เห็นราคาก็ต้องถอนหายใจแล้ว
บางร้านก็ไม่ถูกใจบรรยากาศ เอะอะเกินไปบ้าง เงียบเกินไปบ้าง
ด้วยเหตุนี้ร้าน ฟอร์ซา ซากุระโนะโมริเลยกลายเป็นที่ประจำของพวกฉันไป

ฟอร์ซาเป็นร้านที่มีลูกค้ามาเยอะ เชฟจึงยุ่งอยู่แต่ในครัว แทบไม่โผล่มาในตัวร้านเลย
เพราะแบบนั้น แม้แต่พวกฉันที่เป็นลูกค้าประจำของร้านก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเชฟ
จนกระทั่งวันนั้น




วันหนึ่งไม่รู้ทำไมเชฟถึงได้ยกถาดอาหารมาเสิร์ฟให้พวกฉันด้วยตนเอง
นั่นเป็นตอนที่ฉันได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งแรก
แต่ตอนนั้นฉันกำลังคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ใส่ใจกับชายชุดขาวคนนี้เท่าไรนัก




หลังจากวันนั้นพวกฉันก็ไปที่ร้านฟอร์ซาเหมือนเช่นเคย ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
แต่อยู่มาวันหนึ่งฉันก็สังเกตถึงความผิดแปลกบางอย่างได้
เวลาเชฟส่งอาหารจากห้องครัวผ่านทางช่องส่งอาหาร จะยื่นหน้าออกมาด้วย
ทั้งที่ตามจริงแล้วยื่นออกมาแค่มือก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องโค้งตัวยืนหน้าออกมา

กำลังทำอะไรอยู่กันนะ ?”
ด้วยความสงสัย ฉันจึงลองคุยกับเพื่อนดู
แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้

ผ่านไปสักพัก ฉันถึงได้รู้ตัว
ว่าเชฟกำลังมองมาทางนี้อยู่
ไม่สิ
ต้องบอกว่ากำลังมอง ฉันอยู่




นับจากวันที่รู้ตัวเรื่องนั้น ฉันก็ไม่อาจคุยกับเพื่อนๆอย่างสบายอารมณ์ในร้านได้อีกต่อไป
แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเอง

หลังจากนั้นพวกฉันก็ยังคงไปร้านฟอร์ซาเหมือนเดิม
สิ่งที่ต่างไปจากเดิมคือความรู้สึกของฉัน
เวลาชวนกันไปที่ร้าน ไม่ได้มีกำหนดตายตัวว่าใครจะเป็นคนเริ่มพูดคำว่า ไปกันเถอะ ออกมา
แต่คนๆนั้นไม่ใช่ฉันแน่นอน คำๆนั้นไม่ออกมาจากปากของฉันอีกแล้ว
แค่เพราะเพื่อนๆไปที่นั่น ฉันจึงต้องตามไปด้วยแบบไม่เต็มใจ
ทว่า กลับไม่มีเพื่อนคนไหนรู้สึกถึงเรื่องนั้นเลย

นี่ ฟังอยู่รึเปล่าเพื่อนทักฉัน
นั่นเป็นเพราะแม้แต่ตอนคุยกันเพื่อนๆ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะกังวลกับทางห้องครัว
เชฟจะยื่นหน้าออกมาตอนส่งอาหารเสมอ
และยังไงก็รู้สึกว่าสายตานั้นจะต้องมองมาที่ฉัน
ทีแรกฉันคิดว่าตัวเองแค่คิดไปเอง บอกกับตัวเองว่าตัวฉันเป็นเด็กผู้หญิงเรียบๆ ไม่เคยเป็นที่สนใจของเด็กผู้ชายด้วยซ้ำ
แต่จริงๆแล้วนั่นอาจจะเป็นแค่ความปรารถนาของฉันที่อยากให้มันจบลงแค่การคิดไปเองก็ได้

ฉันไม่อยากไปที่ร้านนั่นอีกแล้ว
แต่เพราะไม่อยากแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนจึงต้องไปที่ร้านนั้นต่อไป




วันหนึ่ง ทั้งๆที่ร้านแน่น แต่เชฟกลับเป็นคนยกถาดอาหารมาเสิร์ฟให้ด้วยตัวเอง
แม้บริกรที่ร้านเห็นแล้วอาสาจะยกถาดแทน แต่เชฟกลับแค่หันไปยิ้มให้ จากนั้นก็เดินมาที่โต๊ะของพวกฉัน

ช็อตเค้กที่เป็นของโปรดของฉันวางอยู่ตรงหน้า
ไม่กินเหรอเพื่อนถามฉันด้วยความแปลกใจ
ฉันรู้สึกไม่สบายใจ
แต่เพราะเป็นของที่ชอบ แล้วจะเหลือไว้ก็เสียดาย จึงใช้ส้อมตัดส่วนขอบปลายแล้วนำเข้าปาก
รสหวานอ่อนๆของครีมสดแผ่ขยายไปในปาก
แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่ามีรสชาติต่างไปจากทุกครั้ง
“……ไม่นะฉันพูดออกมาเบาๆ
หืม อะไรเหรอ ?” เพื่อนถามฉันด้วยความสงสัย
รู้สึกเหมือนกับว่าเค้กนี่จะเสียยังไงไม่รู้……” ฉันบอกเพื่อนไป
ฉันเอาเค้กให้เพื่อนชิม พอกัดไปได้คำหนึ่ง เธอเองก็มีสีหน้าแปลกๆเช่นกัน
ยังไงกันนะ เค้กนี่ คิดว่าไม่เสียหรอก……แต่มีรสชาติแปลกๆยังไงไม่รู้เธอบอก
จากนั้นฉันลองเสนอเค้กให้เพื่อนคนอื่นชิมดูอีก แต่ก็ไม่มีใครยอมเอาเข้าปากเลย
ฉันจึงตัดสินใจลองชิมดูอีกคำหนึ่งเพื่อพิสูจน์ความจริง

อย่างที่คิด รสชาติแปลกๆจริงๆด้วย
แม้จะแค่เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกว่ามันเหม็นคาว
เค้กไม่มีทางมีรสแบบนี้ได้
แม้จะลังเล แต่ฉันก็กลืนเค้กลงไป
ในตอนนั้นสายตาของฉันบังเอิญมองไปทางห้องครัวพอดี
ฉันสบตากับเชฟ




ชายในชุดขาวกำลังยิ้มอยู่
ไม่ใช่รอยยิ้มแบบที่เจ้าของร้านจะยิ้มให้กับลูกค้า
แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด
ฉันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที แล้วพยายามบอกกับตัวเองว่าแค่คิดไปเอง

แต่ต่อมาฉันก็เข้าใจได้ทันที
ถึงเหตุผลที่ทั้งที่ยุ่งกับการทำอาหาร แต่กลับยกถาดอาหารมาเสิร์ฟให้ด้วยตนเอง
และเหตุผลที่แม้บริกรจะอาสายกแทนให้ แต่กลับไม่สนใจ แล้วตรงมาที่โต๊ะของพวกฉัน

ฉันอาเจียนออกมา
ขะ คานะ ไหวรึเปล่าเพื่อนถามฉัน
ผู้คนในร้านแตกตื่นกัน
เพื่อนๆขอโทษพนักงานร้านกันอย่างสุดชีวิต

เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?”
เชฟพูดขึ้นพร้อมกับลูบหลังฉันอย่างอ่อนโยน
แต่ฉันกลับรู้สึกรังเกียจอย่างรุนแรง และอาเจียนออกมามากกว่าเดิม

เอ่อ เค้กนี่ รสมันแปลกๆยังไงไม่รู้……” เพื่อนฉันบอกกับเชฟ
ในทันทีนั้นเอง




สีหน้าของเชฟเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นอาการโกรธเกรี้ยว
ทำเรื่องแบบนี้ในร้าน แล้วยังจะมากล่าวหากันอีกเหรอเขาพูด
ให้เรียกตำรวจเอาไหม ?”
ทันทีที่ได้ยินคำนั้น เพื่อนๆทุกคนก็เงียบไปทันที
เมื่อกี้ฉันสร้างความเสียหายให้กับทางร้าน หากโรงเรียนรู้เข้าจะเป็นยังไง ?
หากนำเค้กไปให้องค์กรที่ไหนสักแห่งตรวจสอบอาจจะเจออะไรก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่เจออะไรเลยจะเป็นยังไง
แค่คิดฉันก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที




สุดท้ายฉันจึงถูกแยกกับเพื่อนให้ไปคุยในห้องสำนักงานของร้านเพียงลำพัง
ก็ไม่อยากจะพูดเรื่องแบบนี้เท่าไรหรอกนะครับ……แต่เรื่องแบบนี้สำหรับร้านอาหารแล้วถือว่าสาหัสจริงๆน่ะนะครับ
เชฟดุฉันด้วยสีหน้าอ่อนโยน ไม่มีอาการโกรธเกรี้ยวแบบเมื่อครู่แล้ว
แต่ตาของเขานั้นกลับไม่ได้ยิ้มด้วย
“……ขอโทษค่ะฉันได้แต่กล่าวขอโทษไป
เชฟยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจคำขอโทษของฉัน
ทว่า

“……แต่ ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้คิดจะบอกให้ชดใช้ค่าเสียหายหรืออะไรทำนองนั้นหรอกครับ
หลังดุเสร็จ เชฟก็พูดเช่นนั้นออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นฉันก็รู้สึกโล่งอก คิดว่าจะได้รับการปล่อยตัวจากที่นี่เสียที
แต่คำพูดของเชฟไม่ได้จบแค่นั้น เขาขอที่อยู่ติดต่อเผื่อไว้ก่อน
เอ๊ะ……” ฉันนิ่งไป
พอเห็นฉันนิ่ง เชฟก็เปลี่ยนสีหน้าทันที รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปแล้ว
ชุดนักเรียนนั่น……ขอเสียมารยาทนะครับ คุณลูกค้าเป็นนักเรียนโรงเรียนซากุระงาโอกะสินะครับเขาพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
แม้คำพูดจะสุภาพ แต่ฉันรู้
จริงๆแล้วเขาต้องการจะบอกว่า…… หนีไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก
สุดท้ายฉันจึงต้องจำใจยื่นบัตรนักเรียนไปให้ดู

“……โฮ่ คุณโทโนะ คานะ……เหรอครับ  คานะ……คานะ เป็นชื่อที่ดีอย่างที่คิดเลยนะครับเชฟมองบัตรนักเรียนของฉันแล้วพูดขึ้น
ผมชื่อโมริยาสุครับ  โมริยาสุ อาคิโอะเขาแนะนำตัวออกมาทั้งที่ไม่จำเป็น
ที่อยู่……?  ……โฮ่ ดูเหมือนจะอยู่ใกล้ทีเดียวเลยนะครับ ดีๆ……” เชฟดูบัตรนักเรียนของฉันแล้วพูดเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจออกมา




รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันรู้สึกไม่ดี
เอ่อ……จะช่วยคืนมาได้หรือยังคะฉันรีบขอบัตรนักเรียนคืนเพราะความไม่สบายใจ
แล้วคำพูดต่อไปที่ออกมาจากปากของเชฟก็คือ
ได้สิครับ ก็จำได้แล้วนี่นา

หลังจากนั้นฉันก็ได้รับการปล่อยตัว
เพื่อนๆรอฉันอยู่ที่หน้าร้าน
ก่อนออกมา เชฟบอกฉันว่าเขาไม่ใส่ใจกับเรื่องในวันนี้แล้ว พร้อมบอกว่า แล้วมาอีกนะครับ
แต่แน่นอนว่าฉันไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว




หลังจากวันนั้น
ขอโทษนะ เพราะฉัน เรื่องมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ฉันขอโทษเพื่อน
ไม่เป็นไรหรอก
หลังจากวันนั้น ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดหน้าสถานีก็กลายเป็นที่อยู่ตอนหลังเลิกเรียนของพวกฉันไปแทน




แล้วพอผ่านไปสักพักก็มีจดหมายจ่าหน้าถึงฉันส่งมา
เป็นจดหมายจากคนที่ฉันไม่รู้จักชื่อ
แต่พอเปิดดูข้างในฉันก็แทบจะกรีดร้องออกมา




ทำไมไม่มา ?
เยาะเย้ยกันอยู่เรอะไง ?
จะเผาบ้านให้เอาไหม ?

ในนั้น ตัวอักษรตัดจากหนังสือพิมพ์ถูกนำมาเรียงกันเป็นถ้อยคำ
ฉันรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนส่งจดหมายมา




ด้วยความกลัว วันรุ่งขึ้นฉันจึงโกหกเพื่อนว่ามีธุระกับทางบ้านแล้วไปที่ร้านฟอร์ซาคนเดียว
เชฟที่น่าจะยุ่งอยู่ออกมาต้อนรับฉันพร้อมยกน้ำมาเสิร์ฟให้ด้วยตัวเอง
ตัดสินใจเมนูที่จะสั่งได้หรือยังครับ ?”
ขอกาแฟค่ะ
สั่งกาแฟไปก็จริง แต่จริงๆแล้วฉันดื่มกาแฟไม่ได้ แล้วก็ไม่คิดจะแตะอาหารร้านนี้อีกเป็นครั้งที่สองด้วย

หลังจากนั้นบริกรก็นำอาหารมาเสิร์ฟ
ทว่า นอกจากกาแฟที่ฉันสั่งแล้วยังมีช็อตเค้กวางอยู่บนถาดด้วย
“……เอ๊ะ ? ฉันสั่งไปแค่กาแฟนี่คะ……”
พอถามบริกรไปก็ได้ความว่าเป็นของแถมพิเศษจากทางร้าน ซึ่งดูจากท่าทางแล้วบริกรก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเหมือนกัน

ฉันนั่งรอจนกาแฟหายร้อน แล้วออกจากร้านไปโดยที่ไม่ทานอะไรเลย
ในใจคิดว่ามาตามที่บอกแล้ว คงจะไม่เป็นไร
ทว่า




ไม่กินเลยสินะ ?
สอนให้เอาไหมว่าถ้าเหยียบย่ำความปรารถนาดีจากผู้อื่นจะเป็นยังไง ?

จดหมายขู่ฉบับที่สองถูกส่งมา
ฉันทนไม่ได้จนต้องไปปรึกษาพ่อแม่
พ่อตัดสินว่านี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่เป็นสตอล์กเกอร์ แล้วนำเรื่องเข้าแจ้งความกับตำรวจ
แต่ก็มีหลักฐานไม่พอ อีกฝ่ายระวังตัวดีพอสมควร จดหมายทั้งสองฉบับชื่อที่อยู่ผู้ส่งไม่เหมือนกันเลย แถมยังไม่มีลายมือหรือรอยนิ้วมือที่ใช้ระบุตัวตนได้อีก
พอไปปรึกษาทนายความก็ได้รับคำตอบมาว่า ณ ตอนนี้อย่าเพิ่งทำให้เป็นเรื่องใหญ่จะดีกว่า

ฉันนอนไม่หลับเพราะความไม่สบายใจ
ในใจคิดว่าถ้าโดนจุดไฟเผาบ้านขึ้นมาจริงๆจะเป็นยังไง
นับจากวันนั้น หลังปิดไฟฉันจึงแง้มหน้าต่างแอบมองออกไปดูข้างนอกเสมอ

และแล้ววันหนึ่ง




วันนั้นฉันมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดียวกับทุกครั้ง
แต่ที่ต่างไปจากวันอื่นๆคือวันนี้ที่ใต้ไฟทางมีชายคนหนึ่งยืนอยู่
โมริยาสุ อาคิโอะยืนอยู่ตรงนั้น
และกำลังมองมาทางนี้

ฉันตกใจ
แต่ก็พยายามสงบใจบอกกับตัวเองว่าในห้องปิดไฟอยู่ ไม่มีทางที่ทางนั้นจะมองเห็นทางนี้ได้
ทว่า




ท่ามกลางความมืด ชายคนนั้น โมริยาสุ อาคิโอะกลับสังเกตเห็นฉันแล้วยิ้มให้

ฉันขนลุกขึ้นมาทันที
จึงรีบวิ่งไปปลุกพ่อกับแม่ที่เข้านอนไปแล้ว
คุณพ่อกับคุณแม่หยิบของที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้อย่างไม้กอล์ฟหรือมีดทำครัว แล้วออกไปดูข้างนอกทันที
แต่พอไปถึงเชฟก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว




หลังจากคืนนั้นบ้านของฉันก็เริ่มจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยมาคอยเฝ้าระวังรอบๆ

แต่ก็จ้างได้แค่เดือนเดียวเพราะจ่ายไม่ไหว เงินที่ต้องจ่ายมันมหาศาลเกินไปสำหรับครอบครัวธรรมดาๆอย่างฉัน
ทว่า แม้จะแค่เดือนเดียวแต่ก็ดูเหมือนจะได้ผล นับจากวันนั้นเชฟก็ไม่โผล่มาอีกเลย ไม่มีจดหมายส่งมาด้วย

ตอนนั้นเป็นช่วงที่ฉันเรียนจบมัธยมต้นและขึ้นมัธยมปลายพอดี
รอบตัวเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ๆ
อาการนอนไม่หลับเองก็หายสนิทแล้ว ตัวฉันเองก็กลับมาร่าเริงได้แล้วด้วย
ฉันจึงรู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างคงจะจบลงแค่นี้




ทว่า ความสุขนั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นได้เพียงภาพลวงตาชั่วขณะ
มีจดหมายส่งมาหาฉันอีก

ฉลาดไม่เลวเลยไม่ใช่เหรอไง
ไม่คิดเลยว่าจะจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัย
ทำเอาฉันที่มองอยู่ไกลๆเผลอหลุดหัวเราะออกมาเลยล่ะ ลองเดินผ่านไปทั้งๆอย่างนั้นแต่ก็ไม่ถูกจับตาดูอะไรเป็นพิเศษเลย แหงอยู่แล้ว
ว่าแต่เลิกจ้างแล้วเหรอ หมายความว่าถึงบ้านจะไฟไหม้ก็ไม่เป็นไรสินะไม่จ้างไปตลอดเลยล่ะ ?  จ้างไปตลอด ตลอด ตลอด ตลอด
คิดว่าเดือนนึงต้องจ่ายเท่าไรกันล่ะ ?  แกมันลูกอกตัญญู ดีแต่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน รู้ตัวบ้างรึเปล่า แทนที่จะคุกเข่าขอขมา กลับทำเรื่องอะไรเจ้าเล่ห์แบบนี้ ยัยผู้หญิงเลว อีนังแพศยา

เนื้อความในจดหมายได้ทำลายความคิดมองโลกในแง่ดีของฉันไป
คืนนั้นฉันรีบนำจดหมายไปให้พ่อแม่ดูทันที
แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าจะจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยอีกรอบ พร้อมกับให้ฉันนั่งแท็กซี่ไปกลับโรงเรียนด้วย
ฟังดูเลยเถิด แต่อีกฝ่ายไม่ใช่คนสติปกติดีแล้ว




ตลอดช่วง ม.4 ฉันต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว
ต้องนั่งแท็กซี่ไปกลับโรงเรียนตลอด แต่เพราะขึ้นลงที่ประตูหลัง บางทีนอกจากครูกับเพื่อนสนิทแล้วคงจะไม่มีใครรู้
วันหยุดเองก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน
ไม่อาจคุยเล่นกับเพื่อนๆได้อย่างสบายใจเหมือนเคยอีกแล้ว
ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้กับพ่อแม่ถาโถมเข้าใส่ แม้พวกท่านจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตามที

สุดท้ายเงินที่ต้องจ่ายก็มหาศาลเกินไป เลยจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยได้แค่ครึ่งปี
เวลาผ่านไป ฉันขึ้นเป็น ม.5
นับจากจดหมายฉบับนั้นก็ไม่มีจดหมายขู่ส่งมาอีกเลย ทั้งฉันทั้งพ่อแม่ต่างก็โล่งใจ คิดว่าคราวนี้ล่ะคงจะจบลงจริงๆเสียที

แต่ความเป็นจริงนั้นกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ช่วงเวลาหนึ่งปีนั้นได้บ่มเพาะความบ้าคลั่งของชายคนนั้นบ่มเพาะความบ้าคลั่งของโมริยาสุ อาคิโอะจนสุกงอมได้ที่




ในวันนั้นฉันได้ยินเสียงประตูเปิด
แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่พ่อแม่จะกลับมา
ฉันคิดว่าตัวเองคงจะหูแว่วไปเอง
ทว่า...




ชายคนนั้น โมริยาสุ อาคิโอะ... เชฟยืนอยู่ตรงนั้น
ฉันตกใจร้องไม่เป็นเสียง




หึ…….หึ…… ฮะๆ……”
เชฟหัวเราะพร้อมกับค่อยๆปีนบันไดขึ้นมา
สายตาของเขาจ้องมาที่ฉัน
นั่นเป็นตอนที่ฉันได้มองหน้าเชฟตรงๆอีกครั้ง
นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ราวกับไม่ใช่มนุษย์




ฉันรีบหนีเข้ามาในห้องของตัวเอง
พยายามขยับโต๊ะเขียนหนังสือมาขวางประตูไว้ แต่ก็หนักเกินจนต้องล้มเลิกความคิดไป
สุดท้ายเลยตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงแทน

เสียงฝีเท้าคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
ฉันพยายามกลั้นหายใจสุดชีวิต
แกร๊ก !
ได้ยินเสียงประตูเปิด




ตุบ ตุบ ตุบ
มีเสียงรองเท้าเดินในห้อง

เจ้าของรองเท้านั้นเดินวนอยู่ในห้องครู่หนึ่งก่อนจะหายไปจากสายตาของฉัน
ได้ยินเสียงปิดประตู
เขาไม่อยู่แล้ว
เชฟออกจากห้องไปโดยที่หาฉันไม่พบ
เฮ้อ……” ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ในตอนนั้นเอง




เจอแล้ว !”
โมริยาสุ อาคิโอะชะโงกหน้ามองลงมาจากบนเตียง
นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
ราวกับไม่ใช่มนุษย์ ราวกับเป็นอะไรบางอย่างที่สวมหนังมนุษย์อยู่
ฉันตกใจร้องไม่เป็นเสียง
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป




หลังจากนั้นพอฉันรู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ในครัวของร้านฟอร์ซา
เชฟกำลังลับมีดเล่มโตอยู่
ขณะลับมีด เขาก็หัวเราะไปด้วยราวกับคนเสียสติ

พอเชฟเห็นว่าฉันตื่นแล้ว เขาก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
ฉันพยายามขัดขืนแต่ก็ไร้ประโยชน์
เชฟโมริยาสุพรรณนาอย่างโรคจิตว่าจะแล่และปรุงฉันยังไงดี

ฉันได้แต่ภาวนา
ในระหว่างนั้นเงื้อมมือมัจจุราชก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ
แล้วก็




ฉึก !
มีดของเชฟแทงเข้ามาในตัวฉัน
ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง




หลังจากนั้นเชฟยังคงขยับมีดต่อไปอีก
แต่ฉันไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
ใช่แล้ว ความช่วยเหลือที่เรียกว่า ความตายได้ส่งมาถึงฉันแล้วนั่นเอง
นี่คือเรื่องทุกอย่างที่ฉันรู้ หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าร่างกายของฉันเป็นยังไง แล้วก็ไม่อยากจะคิดด้วย




ฟุคิงามิคุง
ฟุคิงามิคุง
ฉันตายไปแล้วก็จริง
แต่ก็รู้สึกว่าโชคดีที่สุดท้ายได้บอกเรื่องนี้ออกไป
แต่ว่า ระวังตัวด้วยนะ
ไม่สิ รีบหนีไปเถอะ
เชฟน่ะ
โมริยาสุน่ะ
ไปอย่างสมบูรณ์แล้ว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น