Chapter 1 (Part 8) : ตามล่าหาตัวฆาตกร -ครึ่งหลัง-
“อึก……อา……!!”
ฟุคิงามิ ชินจิเซจนเกือบล้ม
“ฟุคิงามิคุง……?” เพื่อนร่วมชั้นสาวเรียกเขาด้วยความเป็นห่วง
“……เป็นอะไรไปเหรอ……? จู่ๆก็หน้าซีด……เหงื่อแตกพลั่กเลยด้วย” น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อย
เหมือนจะเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่จริงๆแล้วคงผ่านไปไม่ถึง 10 วินาที
ชินจิใช้มือกดตรงช่องท้องไว้ด้วยความเจ็บปวด
“……เจ็บงั้นเหรอ” คุเรฮะถามด้วยสีหน้ากังวล
“……อา เจ็บ……แต่ว่าความเจ็บปวดแค่นี้น่ะ……”
…สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่ภาพลวงตา
มันเทียบกับความเจ็บปวดที่โทโนะได้รับจริงๆไม่ได้เลย เด็กหนุ่มคิดอยู่ในใจ
“???” เด็กสาวมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนกับไม่เข้าใจ
โทโนะ……
เด็กหนุ่มนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นผู้ล่วงลับ
แล้วจึงเอ่ยปากบอกพวกพ้องตรงหน้าด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบว่า…
“คนที่ฆ่าโทโนะคือเชฟร้านนี้”
“เอ๊ะ……” เด็กสาวตกใจกับคำพูดนั้น
ในตอนนั้นเอง…
“ร้านนี้คิดจะเอาแมลงมาให้ลูกค้ากินเหรอไง
คนรับผิดชอบออกมาซะ !!”
เสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดของลูกค้าผู้ชายดังไปทั่วร้าน
ชายในชุดขาวได้ยินเสียงนั้นจึงเดินออกมาจากห้องครัว
“แกคือผู้รับผิดชอบสินะ !? หืม ?” ลูกค้าเตรียมปลดปล่อยอารมณ์โกรธออกมาเต็มที่…
…แต่พอมองเข้าไปที่ใบหน้าของเชฟแล้วกลับแสดงอาการหวาดกลัวออกมาแทน
จะว่าไป หนอนงั้นเหรอ… ชินจิคิด
ตอนนี้โมริยาสุกำลังหันหลังให้เขาพอดี
เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงขยับตัวทันที
“เดี่ยวสิ……จะไปไหนน่ะ ?” เพื่อนร่วมชั้นสาวที่ตามสถานการณ์ไม่ทันถามด้วยความตกใจ
อาจเป็นเพราะตอนนี้ในร้านกำลังวุ่นวายกันอยู่
เขาเลยเดินเข้ามาในครัวได้ง่ายๆ
“เอ่อ กำลังทำอะไรอยู่เหรอ” คุเรฮะที่ตามเข้ามาถาม
“บางทีศพของโทโนะอาจจะซ่อนอยู่ที่นี่” เขาตอบ
“หา……?” เธอตกใจทั้งที่ยังงงๆอยู่
“หนอนแมลงเมื่อกี้นี้ไง” ชินจิบอกแล้วจึงเริ่มมองหาที่ๆน่าจะใช้ซ่อนศพได้ทันที
ห้องครัวเต็มไปด้วยหนอนแมลง
แต่ก็ไม่เจอของที่ใหญ่พอที่จะยัดคนทั้งคนลงไปได้…
ไม่สิ ! การที่คิดว่าศพของโทโนะยังอยู่ในสภาพเดิมมันผิดตั้งแต่แรกแล้ว
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น
จู่ๆก็มีเรี่ยวแรงมหาศาลมาจับเข้าที่ไหล่
“กำลังทำอะไรอยู่งั้นหรือครับ……?” เชฟโมริยาสุที่ยืนอยู่ข้างหลังถาม
“โมริยาสุ…” เด็กหนุ่มเพียงพูดชื่อของอีกฝ่าย
“กำลังทำอะไรอยู่งั้นหรือครับ ?” อีกฝ่ายเห็นพวกชินจิไม่ตอบเลยถามซ้ำอีกครั้ง
รู้สาเหตุที่ลูกค้าผู้ชายเมื่อกี้แสดงอาการหวาดกลัวออกมาแล้ว
ใบหน้าของเชฟโมริยาสุ อาคิโอะมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
“เข้ามากันเองตามอำเภอใจแบบนี้ทางนี้ก็ลำบากแย่สิครับ
ห้องครัวจะมีเชื้อโรคเอา”
เชฟพูดแล้วใช้แรงแขนดันชินจิกับคุเรฮะออกไปจากห้องครัว
เขากับคุเรฮะโดนไล่ออกมาจากห้องครัว
ตอนนี้ในร้านร้างโดนสิ้นเชิงแล้ว อย่าว่าแต่ลูกค้าเลย
บริกรก็ไม่อยู่แล้ว
“ออกไปซะ” เชฟกระซิบข้างหู
ในตอนนั้นชินจิรู้สึกว่าได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่ใช่กลิ่นปาก
แล้วยังน่าสะอิดสะเอียน มาจากตัวโมริยาสุ
“……หรือจะให้ฆ่าซะเลยเอาไหม”
คุเรฮะสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากเชฟ
“……คิริโต้ ไปกันเถอะ” เด็กหนุ่มตัดสินใจยอมถอยแต่โดยดี
“อะ อื้อ” เพื่อนร่วมชั้นสาวพยักหน้าทั้งที่ยังตกใจอยู่
เขากับเธอรีบคว้ากระเป๋านักเรียนแล้วเดินออกไปนอกร้านทันที
เด็กหนุ่มเดินห่างออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไร
ข้างหลังมีเด็กสาวผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเดินตามมาอยู่
“อะไรกันน่ะ คนๆนั้น……ดูผิดปกติ……เอามากๆเลย……” เธอพูดขึ้น
ก่อนจะ…
“……อ๊ะ ลืมจ่ายเงิน”
เด็กสาวเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองออกจากร้านมาโดยที่ไม่จ่ายเงิน
เธอมีท่าทีลนลานเล็กน้อย
แม้จะเคร่งเครียดอยู่ แต่อากัปกิริยาของเพื่อนร่วมชั้นสาวก็ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่จำเป็นต้องจ่ายหรอก
ก็มีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่ด้วยนี่นา” เด็กหนุ่มบอกเธอ
“นั่นสินะ” คุเรฮะยิ้ม
“ว่าแต่เมื่อกี้……ฟุคิงามิคุงพูดเรื่องที่ชวนให้รู้สึกคาใจมากสินะ
?” คุเรฮะกลับไปเข้าเรื่อง
ชินจิจึงอธิบายให้เธอฟัง
ว่าโดยปกติแล้ววิญญาณจะพูดไม่ได้
แต่หากเขาสัมผัสกับวิญญาณ ความทรงจำในช่วงที่ยังมีชีวิตจะไหลเข้ามาและเขาจะสามารถรับรู้ส่วนหนึ่งของความทรงจำเหล่านั้นได้ราวกับประสบมาเองกับตัว
“อ๊ะ ถ้างั้น เมื่อกี้……คุณโทโนะก็……?”
“อา……”
“งั้นหรอกเหรอ ชั้นนี่ล่ะก็
นึกว่าจะไปโวยกับคนที่ร้านซะอีก……”
“คนที่ฆ่าโทโนะคือโมริยาสุ เรื่องนั้นไม่ผิดแน่”
“…………”
“แต่แค่ชั้นบอกว่าไม่ผิดแน่……ก็ไม่ได้กลายเป็นหลักฐานอะไรอยู่ดีสินะ……”
“ชั้นเชื่อนะ” เด็กสาวตรงหน้ายิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ
เด็กหนุ่มจึงโค้งศีรษะให้เด็กสาวเล็กน้อย
ทว่า สุดท้ายก็ไม่มีทางใช้ความทรงจำจากวิญญาณไปแจ้งตำรวจได้อยู่ดี
“แต่ว่า…นั่นสินะ พึ่งตำรวจไม่ได้… ไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ นี่เป็นชะตากรรมอย่างหนึ่งที่ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” เด็กสาวเองก็คิดแบบเดียวกัน
หลังจากนั้นเขาก็แยกกับคุเรฮะโดยตกลงกันว่าตอนเย็นจะไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะซากุระโนะโมริ
ยังมีเวลาอีกสักพักก่อนจะถึงเวลาที่นัดกับฮัตสึเนะจังไว้
ชินจิจึงตัดสินใจไปที่สำนักงานนักสืบโกโรตะ
“ผีลักซ่อน” เป็นคดีที่เกินมือมนุษย์ไปแล้ว เขาเลยไม่มีธุระกับนักสืบโกโรตะแล้วก็จริง
แต่ยังมีเรื่องที่อยากจะบอกกับคุณฮิเดะไว้อยู่
ทว่า ดูเหมือนวันนี้คุณฮิเดะจะไม่อยู่
ในสำนักงานมีนักสืบโกโรตะอยู่คนเดียว
นักสืบโกโรตะบอกว่าใช้ให้คุณฮิเดะไปซื้อบุหรี่ตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้ว
แต่คงเดินเล่นเถลไถลเอื่อยเฉื่อยตามเคย
“แกไม่มีเหรอ”
ว่าแล้วก็ขอบุหรี่จากชินจิ
แต่พอเขาปฏิเสธไปว่ายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ นักสืบก็บอกว่าตนสูบตั้งแต่ม.ต้นแล้ว
“มีธุระอะไรรึเปล่า”
นักสืบโกโรตะถามชินจิโดยบอกว่าได้ยินมาจากคุณฮิเดะ
“ก็เป็นอะไรคล้ายๆแบบนั้นน่ะครับ……” ชินจิพูด
พอได้ยินดังนั้นนักสืบก็กระตือรือร้นลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที
บอกว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นนักเรียน แต่ลูกค้าก็คือลูกค้า
“คดีฆาตกรรมน่ะครับ” ชินจิบอก
“หา……?” นักสืบแสดงอาการตกใจก่อนจะถามเพิ่มเติม พร้อมแววตาที่เปลี่ยนมาจริงจัง
ชินจิจึงเล่าให้ฟังว่าเพื่อนร่วมชั้นถูกฆ่า และรู้ด้วยว่าฆาตกรเป็นใคร
แต่ไม่มีหลักฐานพอที่จะไปแจ้งตำรวจ เลยอยากให้หาหลักฐานมาให้
นักสืบโกโรตะฟังแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะถามชินจิว่ารู้ตัวคนร้ายได้ยังไง ดูแล้วไม่น่าใช่บังเอิญไปเห็น
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงแจ้งตำรวจไปแล้ว
“เอ่อ……” เด็กหนุ่มไม่รู้จะตอบยังไงดี
ทว่า…
“ช่างเถอะ” นักสืบโกโรตะพูดขึ้น
แล้วก็ปฏิเสธทันควันว่างานหลักๆของที่นี่คือการสืบคดีชู้สาว
ไม่รับสืบคดีฆาตกรรม
ชินจิตกใจเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้ยิน
ทว่า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้คิดจะหวังพึ่งนักสืบโกโรตะจริงจังอะไรอยู่แล้ว
นักสืบกลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อราวกับหมดความสนใจ
แต่ก็ยังถามชินจิว่า…
“เพื่อนร่วมชั้นที่ว่าน่ะ ผู้หญิงเหรอ”
“ครับ”
“หรือว่า แอบชอบอยู่งั้นเหรอ ?”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น”
“หืม งั้นเหรอ…… ว่าแต่คิดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ…”
คราวนี้นักสืบจ้องตรงมาที่ใบหน้าของชินจิ
“แกน่ะ
มีแววตาที่ยังไงก็คิดไม่ได้ว่าเป็นเด็กนักเรียนธรรมดา” นักสืบเอ่ยขึ้น
“เอ๊ะ……?” เด็กหนุ่มแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย
“เป็นแววตาที่ดูมืดมนนิดหน่อย แต่……เมื่อ 3 ปีก่อนรึเปล่านะ ? ในตอนที่เจอกันครั้งแรกยังไม่ได้เป็นแบบนี้แน่ๆ”
“……” เด็กหนุ่มฟังคำพูดของนักสืบอย่างเงียบๆ
“ตอนนี้ ยังไงกันนะ
เป็นแววตาที่เหมือนกับจมจ่อมอยู่กับเรื่องๆเดียว เป็นแบบที่หน้าตาดูเหมือนคนปกติก็จริง
แต่พอถึงคราวก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรลงไปบ้างน่ะ”
พูดจบแล้วนักสืบโกโรตะก็กลับไปอ่านหนังสือพิมพ์อีกครั้ง
โดยพูดทิ้งท้ายไว้อย่างเงียบเชียบว่า…
“อย่าไปฆ่าคนเข้าเชียวล่ะ”
“ฆ่าคนงั้นเหรอครับ ? ผมเนี่ยนะ ?” เด็กหนุ่มรู้สึกคาใจกับคำพูดนั้นจนต้องถามออกไป
“เอาเถอะ ถ้าผู้เคราะห์ร้ายไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่แอบชอบก็ดีแล้ว……สำหรับตัวแกเองน่ะนะ” นักสืบโกโรตะตัดบท
ชินจิครุ่นคิดถึงความหมายในคำพูดของนักสืบ
ผ่านไปสักพักคุณฮิเดะก็กลับมา
แล้วก็โดนนักสืบด่าที่มัวแต่เถลไถลไปตามระเบียบ
ชินจิชวนคุณฮิเดะออกมาคุยกันข้างนอก
“คุณฮิเดะ รู้จักซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สรึเปล่า” เขาลองถามคุณฮิเดะดู
แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่รู้
“ผมเข้าเป็นซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สแล้วนะ” เด็กหนุ่มบอกกับเพื่อนผู้โตกว่า
“อะไรกันล่ะ นั่นน่ะ ?” อีกฝ่ายเหมือนจะไม่รู้จักจริงๆ
“ฮีโร่ผู้ผดุงคุณธรรม……ล่ะมั้ง” เขาตอบไปอย่างไม่มั่นใจเท่าไร
แต่พอได้ยินแค่นั้น
เพื่อนผู้โตกว่าก็แสดงอาการดีใจออกมาสุดขีด ดีใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง แล้วก็บอกว่าจะคอยเอาใจช่วย
ต่อมา ได้เวลาชมรมเลิกแล้ว ชินจิจึงไปรับฮัตสึเนะจังที่โรงเรียน
น้องสาวของเขาเดินออกมาจากอาคารเรียนพร้อมๆกับเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเพื่อน
เขาโบกมือให้เธอ
พอฮัตสึเนะจังเห็นเขา
เธอก็ยิ้มแล้วโบกมือให้เขาเช่นกัน
“?”
แต่ไม่รู้ทำไม
ดูเหมือนจู่ๆพวกเด็กผู้หญิงที่อยู่รอบๆจะเริ่มส่งเสียงเอะอะกัน
แถมน้องสาวของเขาเองก็หน้าแดงด้วย
“มีอะไรงั้นเหรอ ?” ชินจิถามฮัตสึเนะจังที่หน้าแดง
“…………” เธอเงียบไม่ตอบ
“นึกว่าเป็นแฟนน่ะค่ะ” เด็กผู้หญิงที่อยู่รอบๆตอบแทน
“อะ อา……”
ตอนนี้เด็กหนุ่มเข้าใจถึงสาเหตุที่น้องสาวของตัวเองหน้าแดงแล้ว
“ก็หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไรด้วย” เพื่อนของฮัตสึเนะจังพูดต่อ
“……สายตาดีนะ” เขาแปลกใจเล็กน้อย
“ก็มีดีแค่นั้นล่ะค่ะ ว่าแต่รุ่นพี่คะ
คิดว่าเด็กผู้หญิงที่สายตาดีเนี่ยดูดีหรือเปล่าคะ”
จู่ๆก็โดนรุ่นน้องที่เป็นเพื่อนของฮัตสึเนะจังยิงคำถามแปลกๆใส่
“เอ เอ่อ……ยังไงกันนะ” ชินจิตอบแบบปัดๆไป
หลังแยกกับผองเพื่อนที่แสนครื้นเครงของฮัตสึเนะจังแล้ว ชินจิกับฮัตสึเนะก็มุ่งหน้าไปที่สวนสาธารณะ
“เพื่อนที่ชมรมเหรอ ?” เขาถามน้องสาวระหว่างทาง
“อะ อื้อ……โดนบอกว่าขี้โกงหรือแซงหน้าไปก่อนด้วยล่ะ”
“ฮะๆๆ……แล้วก็เลยเอะอะกันสินะ”
“อือ……แล้วพอบอกไปว่า ไม่ใช่ค่ะ
คนๆนั้นเป็นพี่ชายของฉันค่ะ------ก็โดนถามว่า จริงๆเหรอ ?”
“ก็นะ
สำหรับพี่น้องแล้วหน้าก็ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไรด้วย”
“แล้วพอโดนบอกว่า ‘ถ้าอย่างนั้นแนะนำให้รู้จักหน่อยสิ’ ก็ปฏิเสธไป……เพราะแบบนั้นเลยโดนสงสัยรึเปล่านะ”
“ขอส่งเมลหาคนที่กำลังจะไปเจอแป๊บนึงนะ” เด็กหนุ่มบอกกับน้องสาวแล้วก้มหน้าลงพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือ
“เอ่อ……พี่คะ ?”
“หืม…..?”
มีเสียงเรียกจากน้องสาว
เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา
ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือฮัตสึเนะจังที่มีแววตาแน่วแน่และสีหน้าจริงจังผิดไปจากยามปกติ
“หรือควรแนะนำให้รู้จักจะดีกว่ารึเปล่านะ
? ตอนที่มีโอกาส” เธอพูด
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก” ชินจิบอกปัดแล้วรีบเบนสายตากลับไปที่จอโทรศัพท์อีกครั้งราวกับเป็นการหนี
“อืม……” น้องสาวของเขาตอบรับคำพูดด้วยเสียงอ่อยๆ
“ขอให้แนะนำให้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยไม่ใช่เหรอไง
แนะนำให้รู้จักกับรุ่นน้องที่น่ารักน่ะ”
“แต่ ก็น้า
ยังไงที่น่ารักที่สุดก็คือฮัตสึเนะจังงั้นสินะ”
มาโดกะโผล่มาพูดคำสองคำ ก่อนจะหายไป
“…………”
ใช่แล้ว
เรื่องที่เขาเห็นวิญญาณได้คงต้องขอให้พวกคุเรฮะปิดบังฮัตสึเนะจังไว้
เด็กหนุ่มเพิ่งนึกได้
สวนสาธารณะซากุระโนะโมริ
แม้ซากุระจะเริ่มร่วงโรยบ้างแล้ว
แต่ก็ยังคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาชมดอกไม้
ที่นั่นมีเด็กสาวสองคนรอพวกเขาอยู่
“คนที่ใส่ชุดญี่ปุ่นตรงนั้นเหรอคะ ? ข้างๆก็มีอีกคนอยู่ด้วย”
“อื้อ”
“……ทั้งคู่สวยมากเลยนะคะ……” น้องสาวของเขามีท่าทางงอนเล็กน้อย
“……ฮัตสึเนะจังเองก็สายตาดีนะ” เด็กหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปดี
หลังทักทายกันเสร็จก็เข้าเรื่องทันที
พวกคุเรฮะเล่าเรื่องไปตามลำดับโดยจงใจละเรื่องที่เขามองเห็นวิญญาณไว้ตามที่ขอ
เพื่อนร่วมชั้นที่หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ, ฝูงวิญญาณร้ายในร้านอาหารอิตาเลี่ยน, ปีศาจฆาตกรที่แฝงตัวอยู่ในเมือง ฯลฯ
ฟุคิงามิ ฮัตสึเนะตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังฟังเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เธอจึงเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก
“คิดว่าพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้วล่ะค่ะ
แต่ที่ยังไม่เข้าใจก็คือ......”
“ทำไมพี่ชายของหนูถึงต้องให้ความร่วมมือด้วยล่ะคะ”
เด็กหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
แม้คำพูดจะสุภาพ แต่ดูเหมือนน้องสาวของเขาจะกำลังโกรธอยู่
ฮัตสึเนะจังนั้น
แม้ปกติจะเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาให้เห็นเท่าไร แต่พอถึงคราวแล้วจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด
พวกคุเรฮะเองก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“เปล่า ไม่ใช่หรอก ฮัตสึเนะจัง” เด็กหนุ่มเอ่ยปาก
“เอ๊ะ ?”
“พี่เป็นคนเอ่ยปากขอเข้าร่วมเอง”
“……ทำไมกันคะ ? แค่ฟังดูก็รู้สึกว่าอันตรายแล้ว……”
“อืม……ก็แค่คิดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วน่ะ
ทำนองว่า……อาจจะใช้ทำประโยชน์อะไรได้รึเปล่า”
“เรื่องที่มองเห็นวิญญาณร้ายเหรอคะ ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
“แต่เรื่องแบบนั้น……ไม่ใช่เรื่องที่พี่จำเป็นต้องทำเลยนะคะ……”
“…………”
ดูเหมือนว่าถ้าอธิบายแค่ครึ่งๆกลางๆ
น้องสาวของเขาจะไม่ยอมรับ
ฟุคิงามิ
ชินจิจึงตัดสินใจเล่าความจริงที่ไม่เคยเล่าให้ครอบครัวฟังมาก่อนออกไป
บอกไปว่าตอนเครื่องบินตกได้เห็นวิญญาณร้ายจำนวนมาก
จึงรู้สึกว่านี่เป็นโชคชะตา
“แล้วอีกอย่างคือ……พี่ชิงชังฆาตกร……ชิงชังโมริยาสุ เพราะแบบนั้นเลยปล่อยไว้ไม่ได้”
เด็กหนุ่มบอกเหตุผลของตนเองออกไป
เมื่อได้ฟังเหตุผลเหล่านั้น ท่าทีของฟุคิงามิ
ฮัตสึเนะก็เปลี่ยนจากปฏิเสธโดยสิ้นเชิงมาเป็นครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ในตอนนั้นเอง…
“ฮัตสึเนะจัง ขอร้องล่ะ สำหรับฉันแล้วพลังของพี่ชายของเธอจำเป็นจริงๆนะ”
คุเรฮะที่ยืนดูอยู่เงียบๆมาตลอดได้กุมมือของฮัตสึเนะแล้วพูดขึ้น
เธอขอร้องฮัตสึเนะจังอย่างลืมตัว
เช่นเดียวกับที่กุมมือเขาเมื่อวาน บอกว่าเป็นการพบพานที่มาจากโชคชะตาบ้าง อะไรบ้าง
โดนขอร้องแบบจริงจังกะทันหัน
น้องสาวของเขาเลยทำอะไรไม่ถูก
“ขอร้องแบบเร่าร้อนเกินไป
ระวังจะได้ผลตรงกันข้ามนะ คุเรฮะจัง” รุ่นพี่มาโฮโระเข้ามาแยกวง
“เอ๊ะ ? ทำไมกันล่ะ” คุเรฮะงง
“ดูเหมือนฮัตสึเนะจังจะให้ความสำคัญกับพี่ชายมากเลยล่ะ
แน่นอนว่านั่นก็เป็นเรื่องดีนะ” รุ่นพี่อธิบายแบบแฝงนัยอะไรบางอย่าง
ฮัตสึเนะหน้าแดงที่รุ่นพี่เดาความในใจของเธอออก
“……อื้อ……ก็เลยเป็นห่วงไม่ใช่เหรอ……” คุเรฮะยังคงไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของรุ่นพี่
ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเช่นกัน
รุ่นพี่ต้องการจะบอกอะไรกันแน่นะ ?
“แหม ก็
ซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สมีแต่เด็กผู้หญิงไม่ใช่เหรอไง… ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็มีแค่พวกฉันสองคนน่ะนะ” รุ่นพี่เฉลย
“…………”
แม้จะอธิบายไปขนาดนั้น แต่ดูเหมือนคุเรฮะจะยังไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว
เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย
“…… หมายความว่าคุณชิซุมิยะเองก็คิดแบบเดียวกันนี้กับยาซึทากะด้วยเหรอครับ” เขาถามออกไป
“อื้อ ใช่แล้วล่ะ ต้องไม่ประมาท
คอยระวังไม่ให้มีแมลงร้ายมาเกาะแกะน้องชายผู้น่ารัก……อะไรทำนองนั้นน่ะนะ ฮิๆๆ” รุ่นพี่มาโฮโระตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“……คนๆนี้กำลังพูดอะไรอยู่กันน่ะ ?” คุเรฮะถามฮัตสึเนะจัง
ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาจะเป็นคนเดียวในที่นี้ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่
“เอ๊ะ ?
เอ่อ……” ฮัตสึเนะจังอ้ำอึ้ง
สุดท้ายทุกคนจึงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ปล่อยให้คุเรฮะงงอยู่คนเดียว
“ช่างเถอะ แล้ว คำตอบว่ายังไงล่ะ ?”
คุเรฮะตามเรื่องไม่ทันเลยข้ามไปถามคำตอบเลย
ฮัตสึเนะจังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“……ถ้าให้พูดตามตรงคือไม่อาจสนับสนุนเห็นชอบได้ค่ะ……” เธอพูด
จากนั้นก็หันมามองทางนี้แล้วพูดต่อ
“แต่ถ้าพี่ชายมีความตั้งใจแน่วแน่ขนาดนั้นก็หยุดไม่ได้หรอก” เด็กหญิงกล่าวทั้งรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะ”
เด็กหนุ่มพูดขอบคุณน้องสาวที่คอยเป็นห่วงเป็นใยและเข้าใจเขาเสมอมา
ทว่า ในตอนที่เด็กหนุ่มกำลังชะล่าใจนั้นเอง น้องสาวก็พูดเรื่องไม่คาดคิดออกมา
“แต่ถ้าอย่างนั้นล่ะก็
ถ้าหนูมีพลังแบบเดียวกันบ้างก็ดีแล้วแท้ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็------”
“เอ๊ะ ไม่ได้นะ นั่นน่ะ” ชินจิรีบปฏิเสธทันควัน
“เพราะอันตรายงั้นเหรอ ?” เธอถาม
“อา”
“แต่ทีตัวเอง ทั้งที่อันตรายแต่ก็ยังจะทำใช่ไหมล่ะ” ฮัตสึเนะจังแย้ง
ชินจิจนมุม
“……ดีแล้วที่ฮัตสึเนะจังมองไม่เห็น ดีจริงๆ”
เขาได้แต่บอกความรู้สึกของตัวเองไปตามตรง
ฮัตสึเนะจังแสดงอาการงอนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยอารมณ์เหมือนต้องอยู่นอกวงอยู่คนเดียว
เห็นดังนั้นคุเรฮะเลยบอกว่าจะเล่าวีรกรรมของพี่ชายให้ฟังทุกครั้งหลังงานเสร็จแทน
พอได้ยินเช่นนั้น ฮัตสึเนะจังก็กลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้งทันที
ผิดจากภาพลักษณ์ที่มี
คุเรฮะเป็นคนสบายๆและเอาใจใส่ผู้อื่นได้
คนที่เป็นศูนย์กลางของซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สคงจะเป็นเธอนี่ล่ะ
เด็กหนุ่มคิดเงียบๆอยู่คนเดียวในใจ
ฟุคิงามิ ฮัตสึเนะกำลังเดินกลับบ้านกับพี่ชายของเธอ
หลังแยกกับเพื่อนๆของพี่ชายแล้ว เด็กสาวก็คิดมาตลอด
เมื่อครู่ พี่ชายบอกว่าชิงชังฆาตกร
ในตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนกับเห็นใบหน้าเมื่อ 3 ปีก่อนของพี่ชายผุดขึ้นมาอีกครั้ง
ใบหน้าตอนที่คุณมาโดกะเพิ่งเสียไปได้ไม่นาน แววตาที่มืดมนราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนั่น
แม้จะผ่านไป 3 ปีแต่มันก็ไม่ได้หายไปไหน
แค่ไม่โผล่มาให้เห็นเบื้องหน้าเท่านั้นเอง
การตัดสินใจเข้าร่วมซากุระโนะโมริดรีมเมอร์สของพี่ชายนั้น
ในแง่หนึ่งอาจพูดได้ว่ามาจากการรักความถูกต้อง
แต่เธอคิดว่าในเบื้องหลังนั้นมีความเศร้า, ความทุกข์ทรมาน
และความโกรธแค้นแอบซ่อนอยู่
เด็กสาวไม่อาจรู้สึกสบายใจได้เลยแม้แต่น้อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น