สวัสดีครับ ผมแปลหนังสืออภิธานศัพท์ของเกม Shoujo Shiniki ~ Shoujo Tengoku-The Garden of Fifth Zoa- มาล่ะครับ (จริงๆ แปลเสร็จตั้งแต่วันที่ 20 แล้ว แต่กะจะเก็บไว้ใช้สำหรับอัพบล็อกตอนต้นเดือน) หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีให้ download ฟรีในเว็บหลัก เพราะแบบนั้นผมเลยคิดว่าเรื่องที่ผมเอามาแปลนี่คงไม่มีปัญหาอะไร(มั้ง)
งานนี้เป็นงานที่ยากที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยล่ะครับ ไม่ใช่เรื่องความเยอะ แต่เป็นเรื่องที่มีศัพท์เฉพาะทางอย่างพวก ปรากฏการณ์ Pyroclastic flow, มณฑลกวางตุ้ง, เทศกาลโทริโนะอิจิ ฯลฯ อยู่เยอะมาก กว่าจะทำความเข้าใจได้นี่ยากพอตัวเลยล่ะครับ โชคดีอย่างก็คือมี Text มาให้ไม่ต้องแกะเอง แต่งานที่ยากก็คืองานที่ยากอยู่ดี งานนี้ถ้าไม่มี “สิ่งนั้น” นี่ผมคงไม่มีกำลังใจแปลจนจบแน่นอน …เพราะแบบนั้น Entry นี้ผมขอให้ท่านใช้วิจารณญาณในการอ่านมากกว่า Entry อื่นนะครับ มีคำที่ผมทับศัพท์ไปเยอะเหมือนกัน ทั้งคำที่ไม่เข้าใจและคำที่หาคำที่เหมาะสมมาแทนไม่ได้
ข้อความในวงเล็บที่เป็นสีดำคือข้อความที่อยู่ในวงเล็บตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนข้อความในวงเล็บที่เป็นสีเทา คือข้อความอธิบายที่ผมใส่เพิ่มไปเอง
คำเตือน : เกิน 25% เป็นการดำน้ำ
แปลมาจาก Official Web Site (Lass)
少女神域∽少女天獄 -The Garden of Fifth Zoa-
Shoujo Shin'iki ~ Shoujo Tengoku -The Garden of Fifth Zoa-
เขตแดนศาลเจ้าของหญิงสาว ~ พันธนาการสวรรค์ของหญิงสาว -สวนแห่งเขตบดบังชั้นที่ห้า-
-หนังสืออภิธานศัพท์-
“Shoujo
Shin'iki ~ Shoujo Tengoku” คือเรื่องราวของเหล่าผู้คนซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในโลกทรรศน์ที่เกิดขึ้นมาจากการประสานกันของด้ายสองเส้น
โดยมีประวัติศาสตร์ที่รับสืบทอดมาจากอดีตอันไกลโพ้นกับเรื่องราวที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นด้ายแนวตั้ง
และมีผืนดินที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในขณะที่เวลาผ่านไปเป็นด้ายแนวนอน
ด้วยโครงสร้างฉากของเรื่องที่มีความซับซ้อนมาก
ทำให้การรับรู้เรื่องราวเพียงแค่ผิวเผินนั้นไม่สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องส่วนลึกที่ซับซ้อนได้
เพราะแบบนั้น ก็เลยได้นำรายละเอียดในส่วนนั้นมาให้ดูตรงนี้ และด้วยข้อมูลโครงสร้างของเรื่องราวอันนี้ คิดว่าอาจจะทำให้นักอ่านทุกท่านสนใจผลงาน “Shoujo Shin'iki ~ Shoujo Tengoku” ก็เป็นได้ครับ
ทาคางิ
ชุน เด็กนักเรียนมหาวิทยาลัย ได้เดินทางกลับบ้านเกิดมาด้วยกันกับเพื่อนสมัยเด็ก
เมืองไคโจว------บ้านเกิดของพวกเขาที่ตั้งอยู่ในแอ่งภูเขาไฟนั้นเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศแปลกตา
ไม่ใช่แค่ภูมิประเทศแปลกตาเท่านั้น
ยังมีกำแพงหินที่ทอดยาวออกไปราวกับจะล้อมรอบเมืองเอาไว้อีกด้วย
ถ้ามองจากภายนอกแล้วจะเห็นเป็นป้อมปราการหิน
ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมือง
แต่สำหรับชุนที่เติบที่นั่นแล้ว
ในวัยเด็ก
เขารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นคุกหินที่ขังตัวเองเอาไว้
ไปให้ถึงจุดสิ้นสุดของถนนที่ทอดยาวออกไปในเมือง------
ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่เด็กว่าจะต้องลอดผ่านอุโมงค์ออกไป
ชุนที่ปรารถนาโลกภายนอกมาตลอดนั้น
สามารถออกจากบ้านเกิดไปเข้ามหาวิทยาลัยได้ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
ความฝันกลายเป็นจริงได้ง่ายดายกว่าที่ตัวเขาคิดไว้มาก
และหลังจากนั้น
เวลาหนึ่งปีก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาถึงช่วงที่ฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือน
บ้านเกิดของพวกเขาที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่นั้น
มีการจัดงานเทศกาลที่ชื่อ
“เทศกาลเซย์โคว”
นั่นเป็นงานเทศกาลของ
ศาลเจ้าที่ตระกูลของชุนคอยรับหน้าที่ช่วยสนับสนุนดูแลมาหลายชั่วอายุคน
ว่ากันว่าในปีนี้จะมีการจัดพิธีกรรมพิเศษที่จะจัดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบยี่สิบปีอีกด้วย
ซานะ น้องสาวของชุนกับพวกเพื่อนสมัยเด็ก
พวกเธอก็ได้รับหน้าที่สำคัญในพิธีกรรมด้วยเช่นกัน
ชุนเองก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันว่าต้องกลับบ้านเกิดแต่ว่า......
“ปีนี้จะพยายามเต็มที่ในฐานะมิโกะ ต้องกลับไปด้วยกันให้ได้นะ !”
เพื่อนสมัยเด็กที่เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันและยังอุตส่าห์แนะนำที่พักให้
โอคุชิโระ
ยูกินั้นได้หยุดเขาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยไม่ถามซักคำเลยว่าจะกลับหรือไม่กลับ
เธอเองก็ได้รับหน้าที่สำคัญใน
“เทศกาลเซย์โคว” ปีนี้เช่นเดียวกับซานะ------
ถูกเลือกไปเป็นหนึ่งในมิโกะที่จะมาระบำคางุระ
ด้วยเหตุนี้
ชุนก็เลยกลับมาเหยียบบ้านเกิดหลังจากที่ไม่ได้กลับมา 1 ปี
แล้วก็ได้เห็นสึคามิเนะ
มิโอริยืนอยู่บนชานชาลาของสถานีพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าสร้อย
ในตอนเด็ก
เพราะมิโอริมีนิสัยเหมือนผู้ชาย ก็เลยไปเล่นด้วยกันกับเด็กผู้ชายอยู่บ่อยๆ
แต่พอมาถึงช่วงหนึ่งก็ได้ห่างเหินกันไป
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ได้เห็นจะเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว
แต่ใบหน้าที่เศร้าสร้อยนั้นก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขาตลอดเวลา
พอกลับมาถึงบ้าน
ก็ได้พบกับเพื่อนสนิทของซานะ
ได้พบกับมิจิโอกะ
ไอริอีกครั้ง
ทำให้สามารถรู้สึกได้ว่ากลับบ้านเกิดมาแล้วจริงๆ
เมืองทั้งเมืองกำลังเริ่มเตรียมงาน “เทศกาลเซย์โคว”
ชุนที่ไม่ได้สนใจเองก็เริ่มกลมกลืนไปกลับบรรยากาศในแต่ละวันเช่นกัน
ชุนได้เฝ้าสังเกตดูบ้านเกิดที่ไม่ได้กลับมาหนึ่งปี
แล้วก็ได้รู้จักอีกด้านที่ไม่คาดคิดของเพื่อนสมัยเด็กซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยจนถึงตอนนี้
ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายได้เพิ่มพูนขึ้น
แต่ทว่าในขณะที่การเตรียมงานเทศกาลกำลังไปด้วยสวยนั้นเอง
ในเบื้องหลังนั้น
กงล้อแห่งโชคชะตาที่มืดมิดและน่าสะพรึงกลัวขนาดที่พวกชุนไม่สามารถจินตนาการได้ ก็เริ่มหมุนไปอย่างลับๆ
ไม่ใช่แค่ชุนเท่านั้น
เหล่าเด็กสาวที่โหยหาเขาเองก็ถูกดึงเข้าไปในโชคชะตาเช่นกัน
ถูกล่อลวงเข้าไปหาความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุดที่ไม่อาจหลีกหนีได้
เหล่าหนุ่มสาวที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง
ในตอนที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับความจริงที่ถูกซ่อนไว้ในเมืองกำแพงหิน
พวกเขาจะคิดเช่นใดและจะตัดสินใจอย่างไร ?
少女神域∽少女天獄 -The Garden of Fifth Zoa-
Shoujo Shin'iki ~ Shoujo Tengoku -The Garden of Fifth Zoa-
เขตแดนศาลเจ้าของหญิงสาว ~ พันธนาการสวรรค์ของหญิงสาว -สวนแห่งเขตบดบังชั้นที่ห้า-
เมืองไคโจว
เมืองไคโจวนั้นมีภูมิประเทศเป็นแอ่งที่แปลกตา
ซึ่งเกิดจากภูเขาไฟที่เคยคุกรุ่นเมื่อนานมาแล้ว
ถึงแม้ว่าใจกลางเมืองจะเป็นพื้นที่ราบเรียบ
แต่ขอบนอกของเมืองกลับกลับมีภูมิประเทศที่เหมือนเป็นกำแพง ซึ่งเป็นแอ่งภูเขาไฟชนิดหนึ่ง
พอมาคิดเรื่องที่เกียวโตหรือนาราซึ่งเป็นเมืองเก่านั้นก็ถูกสร้างขึ้นในแอ่งเหมือนกันแล้ว
ก็น่าจะสามารถพอเข้าใจได้ว่าทำไมเมืองไคโจวที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ถึงได้ถูกสร้างขึ้นในแอ่งภูเขาไฟแห่งนี้
(“เมืองอายาโนะ” กับ “เมืองอายาเมะงาโอกะ”
ที่เป็นฉากในผลงานของ Lass ก็มีพื้นที่เป็นแอ่งเช่นกัน)
ในฐานะตัวอย่างเปรียบเทียบของแอ่งภูเขาไฟที่ดีนั้น
ภูเขาอะโสะที่อยู่ในเขตอะโสะ จังหวัดคุมาโมโตะนั้นเป็นแอ่งที่มีรูปร่างดีที่สุด แต่ว่าตัวอย่างที่มีตะกอนจากปรากฏการณ์
Pyroclastic flow หลงเหลือเป็นบริเวณกว้างหรือมีขอบของแอ่งที่โดดเด่นอย่างเมืองไคโจวนั้นไม่ค่อยมีเท่าไรนัก
กำแพงหินขนาดยักษ์หรืออนุสรณ์หินที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ที่มีการใช้ประโยชน์จากหินธรรมชาติมาตั้งแต่โบราณนั้นได้ตั้งเด่นเป็นสง่าราวกับจะห้อมล้อมเมืองเอาไว้
เป็นทิวทัศน์ที่แปลกตาของเมืองไคโจว
หินที่เป็นซากโบราณทางประวัติเหล่านั้นถูกเรียกว่า
“คุซุริวเร็ทเซคิกุน” (กลุ่มอุทยานหินมังกรเก้าเศียร) และได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แทนเมืองไคโจวไป
กำแพงหินหรืออนุสรณ์หินพวกนี้ถูกตั้งอยู่นอกเมือง------หรือก็คือบริเวณเนินที่เป็นเหมือนกำแพงแอ่งภูเขาไฟ
และยังมีส่วนถูกตั้งอยู่ไว้ที่ส่วนยอด(ขอบด้านนอก) อีกด้วย
เรื่องนั้นราวกับว่าเป็นการเสริมกำแพงแอ่งภูเขาไฟ
เมื่อผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นจะใช้การสัญจรทางบกเดินทางไปยังพื้นที่อื่นก็จะถูกขัดขวางเหมือนกับเป็นกำแพงปราสาทชนิดหนึ่ง
ภูเขาไฟที่มีแอ่งที่เมืองตั้งอยู่นั้นเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล
111 เมตร
ราวกับเนินว่าทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาใจกลางที่มีศาลเจ้าตั้งอยู่
ไม่ค่อยรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างความสูงต่ำราวๆ ร้อยเมตรเท่าไรนัก
ยิ่งไปกว่านั้น
เมืองไคโจวยังเป็นเมืองที่ถูกรวมขึ้นมาจาก
- เมืองฮาคุโระ
- เมืองอิวาซากะ
- เมืองฮิโมโรกิ
- เมืองมาโตอิชิ
- เมืองมากิงาริ
- เมืองไคโยเสะ
ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ 6 เมือง
ศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ
ศาลเจ้าที่อยู่ในเมืองไคโจว
มีอีกชื่อหนึ่งคือ “อิวาบาจิเมียวเค็นกู” (ตำหนักแปลกทิวทัศน์ของผึ้งหิน)
เป็นศาลเจ้าที่ไม่ได้ถูกรวบรวมไว้ในรายชื่อในสมัยเอ็นโจว
ในปัจจุบันนั้นอยู่ในระดับศาลเจ้าประจำจังหวัด ตอนนี้เป็นศาลเจ้าที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับศาลเจ้าใหญ่ที่ไหน
เทพที่บูชาคือโออิมิฮิโกะโนะมิโคโตะ, โอโมโนะอิมิโนะคามิ, อาเมโนะฮิวาชิโนะคามิ โทริโนะอาวาคุสุฟุเนะโนะคามิ และคุซุริวโอเมียวจิน
ถ้าอ้างอิงจากบันทึกของศาลเจ้าแล้ว
ดูเหมือนว่าศาลเจ้าจะถูกตั้งขึ้นในสมัยเท็นเงียวปีที่สาม (คริสต์ศักราช 940) ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบันทึกอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน
ถ้าอ้างอิงจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งศาลเจ้าแล้ว
อันดับแรก ในสมัยเอ็นเรียวคุปีที่สอง (ปี 1161)
ด้วยคำสั่งของจักรพรรดินิโจวเท็นโน
พื้นที่ของศาสเจ้าจะถูกพิจารณาเป็นการชั่วคราว และในสมัยเค็นโปปีที่ห้า
(คริสต์ศักราช 1217) มีบันทึกที่ว่าโอเอะ โนะ
ฮิโรโมโตะเข้ามามีส่วนร่วมในการก่อสร้างที่กินบริเวณกว้างหลงเหลืออยู่ พอพิจารณาจากเรื่องพื้นที่ศาลเจ้าในตอนนั้นและขนาดของศาลเจ้าชินโตที่ได้ถูกตัดสินแล้ว
ยุคที่มีการสร้างจริงจะเป็นยุคเค็นโปปีที่ห้า
ข้างทางของหนทางไปสู่ศาลเจ้านั้น มีตะเกียงหินขนาดใหญ่ที่พวกโมริ ทาคาโมโตะซึ่งเป็นแม่ทัพที่เป็นที่รู้จักกันดีในยุคเซ็นโกคุเคยจุดเพลิงบวงสรวงหลงเหลืออยู่ ทำให้สามารถคาดเดาเรื่องที่มีการรวบรวมความศรัทธามาตั้งแต่โบราณได้
อิวาบาจิเมียวเค็นอิเซกิ (กลุ่มซากโบราณแปลกทิวทัศน์ของผึ้งหิน)
เป็นชื่อเรียกรวมซากโบราณทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคโคฟุนจนถึงยุคคามาคุระทั้งหมดที่อยู่บริเวณรอบนอกเมืองไคโจว
ถูกตั้งชื่อตามชื่อ “อิวาบาจิเมียวเค็นกู” (ตำหนักแปลกทิวทัศน์ของผึ้งหิน) ซึ่งเป็นชื่อเรียกของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ
ชื่อ “คุซุริวเร็ทเซคิกุน” (กลุ่มอุทยานหินมังกรเก้าเศียร) ที่เป็นชื่ออีกชื่อก็ถูกเรียกด้วยเช่นกัน
แต่ว่าชื่อนี้เป็นชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกอนุสรณ์หินจำนวนมากกับกำแพงหินที่เกิดจากธรรมชาติหรือไม่ก็ฝีมือมนุษย์
ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาแต่ต้นยุคเฮอันถึงปลายยุคเอโดะ เพื่อล้อมรอบเมืองเอาไว้ และได้เหลือรอดผ่านอันเวลายาวนานมา
พอแบ่งกลุ่มซากโบราณออกเป็นกลุ่มใหญ่แล้วจะได้
1) ยุคโคฟุนถึงยุคนารา
2) ยุคนาราถึงยุคเฮอัน
3)
ยุคเฮอันถึงยุคคามาคุระ
ซึ่งเป็นสามยุค
ซากโบราณที่มีหลายยุคสมัยรวมกันแบบนี้นั้นเรียกว่า “ซากโบราณทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน”
เพราะว่ามีภูมิประเทศเป็นแอ่งแบบพิเศษรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้
ทำให้ร่อยรอยอารยธรรมจากหลายยุคที่อยู่บริเวณตีนเขาหรือในภูเขานั้น แม้แต่ในระดับประเทศก็ยังจัดว่าหาได้ยาก
และในปัจจุบันก็ยังคงมีการขุดค้นมาอย่างต่อเนื่อง
เกี่ยวกับที่มาของอุทยานหินแห่งนี้นั้น
ในปัจจุบัน แม้แต่ศาสตร์อย่างพวกวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ตายตัวได้
ในตอนนี้หน่วยงานการศึกษาอย่างคณะกรรมการการศึกษาเมืองไคโจวหรือมหาวิทยาลัยโทสึคาวะก็ได้ไปทำการสำรวจในหลายๆ
ด้านด้วยเช่นกัน
ในด้านเอกสารข้อมูลนั้น ได้ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในหนังสือ Journal of the Sixteenth-Night Moon ของอะบุสึนิที่เขียนขึ้นในยุคโควอันปีที่หก (คริสต์ศักราช 1283) ว่า “มีของที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินอยู่มากมาย
ขาของคนที่เดินลงมาจากภูเขาหินที่ลาดชันมากก็ได้หยุดลงเช่นกัน” ทำให้อย่างน้อยก็สามารถพอคาดเดาได้ว่าในยุคคามาคุระนั้นกำแพงหินกับอนุสรณ์หินได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว
ฮิเมะชากะ
ดอกไม้ประจำเมืองของเมืองไคโจวก็คือดอกฮิเมะชากะ
(ดอก Iris gracilipes)
มีขึ้นอยู่มากบริเวณเนินของแอ่งหรือในป่า
ดอกฮิเมะชากะของเมืองไคโจวนั้นมีตั้งแต่สีน้ำเงินเข้มไปจนถึงสีน้ำเงินม่วง
ฤดูที่บานคือปลายเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนเมษายน
และจะบานเร็วกว่าสายพันธุ์ปกติด้วยเช่นกัน
ถึงจะเป็นพืชที่ปกติทนความหนาวเย็นได้ดีอยู่แล้วก็จริง
แต่พอมองดูจากทั่วประเทศแล้วก็ยังเป็นกรณีที่หายากอยู่ดี
มีเรื่องที่เคยถูกย้ายไปปลูกในพื้นที่อื่นอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าดอกฮิเมะชากะที่ย้ายไปก็เติบโตและเบ่งบานเช่นเดียวกับดอกฮิเมะชากะธรรมดา ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า สีของดอกไม้กับเรื่องที่บานเร็วนั้นได้รับอิทธิพลมาจากดินของเมืองไคโจวรึเปล่านะ ?
ตระกูลทาคางิ
ตระกูลตัวเอก “ทาคางิ ชุน” และ “ทาคางิ ซานะ”
นามสกุลทาคางินั้นมาจากคำว่า “ทาคา” ที่มีความหมายว่าแสดงให้เห็นถึงอำนาจของเทพกับคำว่า
“งิ” ที่มีความหมายว่ายิ่งใหญ่
ตระกูลทาคางินั้นเดิมทีเป็นตระกูลที่เคยเป็นผู้นำของดินแดนที่ชื่อไคโจว
แต่ว่าในระหว่างช่วงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนั้น
สิทธิในการแสดงความเห็นกับอำนาจการปกครองดินแดนก็ได้ค่อยๆ ถูกตระกูลอื่นแย่งชิงไป
ในปัจจุบัน มีแค่ตระกูลหลักเท่านั้นที่ยังมีคนอยู่
ซึ่งเหลือกันแค่ตัวเอกกับน้องสาวแท้ๆ สองคนเท่านั้น
พวกเขาไม่มีญาติที่มีสายเลือดเดียวกันที่รู้จักกันโดยตรงอยู่เลย
ในระหว่างช่วงเวลาที่ยาวนานนั้น
ญาติคนอื่นๆ เองก็กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ
กลายเป็นสถานการณ์ที่ว่าไม่สามารถติดต่อกับรุ่นพ่อแม่ได้เลย
และไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง
ที่อยู่อาศัยของตระกูลทาคางิเป็นบ้านสองชั้นสมัยใหม่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไคโจว
โดยปกติแล้วแล้ว “คฤหาสน์ซางาเอะเก่า” นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียง
แต่ในปัจจุบันถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลทาคางิที่เป็นผู้สนับสนุนอันดับหนึ่งของ
“ศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ”
นอกจากนี้บ้านหลังนี้ ก็ยังเป็นสิ่งปลูกสร้างสำคัญในด้านทิวทัศน์ของเมืองไคโจวอีกด้วย
ถ้าอ้างอิงจาก “เอกสารซางาเอะ” ที่หลงเหลืออยู่ในเมืองไคโจวแล้ว
จะมีบันทึกไว้ว่าพื้นที่รอบๆ คฤหาสน์ในปัจจุบันนั้น ในอดีตเดิมทีเคยเป็นพื้นที่ของตระกูลทาคางิกับตระกูลซางาเอะซึ่งเป็นตระกูลสาขามาตั้งแต่สมัยมุโรมาจิ
และที่นั่นไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังถูกใช้เป็นที่พักสำหรับประชาชนรอบๆ
หรือที่ชาวต่างถิ่นที่มางานเทศกาลของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะอีกด้วย
เดิมทีตระกูลซางาเอะที่เป็นเจ้าของที่ดินนั้นเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงของเมืองไคโจว
ครอบครองทรัพย์สินมากมายขนาดที่มีที่ดินขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างเรือนแยกได้หลายเรือนและยังสร้างโกดังได้ถึงสามแห่ง
แต่ว่าด้วยเหตุการณ์น่าเศร้าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังสงครามครั้งใหญ่
ชื่อเสียงของตระกูลก็เลยค่อยๆ ซาลงไป ในปัจจุบันได้เหลือครอบครองอยู่แค่อยู่แค่เรือนใหญ่กับโกดังหนึ่งแห่งเท่านั้น
หลังสงคราม
พอตระกูลซางาเอะสิ้นตระกูลไป ตอนนั้นตระกูลทาคางิซึ่งเป็นตระกูลหลักกับตระกูลโอคุชิโระซึ่งเป็นตระกูลที่คอยสนับสนุนของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะเป็นอย่างมากก็ได้เข้ามาควบคุมดูแลที่ดินกับที่อยู่อาศัยแทน
ตระกูลโอคุชิโระ
ตระกูลของ “โอคุชิโระ ยูกิ” ที่เป็นหนึ่งในบรรดานางเอก
นามสกุลโอคุชิโระนั้นมีที่มาจากภาษาเก่า
มีความหมายว่า “สุสานของบรรพบุรุษ”
ตระกูลโอคุชิโระในปัจจุบันนั้นเป็นตระกูลสำคัญที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองไคโจว
และยังมีสิทธิเสียงในการบริหารงานของเทศบาลมากอีกด้วย
ที่อยู่อาศัยของตระกูลโอคุชิโระคือคฤหาสน์ตระกูลโอคุชิโระที่ตั้งอยู่ในเขตไคโยเสะซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองไคโจว
ที่นั่นถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลโอคุชิโระซึ่งเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญของ
“ศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ” และมีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองไคโจว
ในด้านที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นจะเป็นพวกบ้านพักตากอากาศซึ่งเป็นอดีตสถานทูตอังกฤษที่ถูกรื้อมาสร้างใหม่
หรือพวก “โอมุอัน” (อารามนกแก้ว) ที่ถูกสร้างขึ้นในตอนปลายของยุคเอโดะที่นิยมสร้างสิ่งปลูกสร้างเลียนแบบ
“เมย์เมย์อัน” ของอาริซาวะ คาซุมิจิ
สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นยังเป็นสิ่งปลูกสร้างสำคัญที่ในด้านทิวทัศน์ของเมืองไคโจวอีกด้วย
เพราะแบบนี้ เรื่องที่ทำไมตำนานไทระโนะมาซาคาโดะถึงได้เป็นที่มาของตำนานการสร้างศาลเจ้าโออิมิฮิโกะก็เลยมีข้อสงสัยอยู่มากมาย
ตระกูลสึคามิเนะ
ตระกูลของสึคามิเนะ มิโอริ
ที่เป็นหนึ่งในบรรดานางเอก
นามสกุลสึคามิเนะนั้นมาจากคำว่า “สึคา” ที่มีความหมายเดียวกับคำว่า
“สึคา” ที่แปลว่าสุสาน กับคำว่า “มิเนะ”(ยอดเขา) ของภูเขาสูง
เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลและควบคุมขนส่งของเมืองมาตั้งแต่ในอดีต
แต่ว่าในปัจจุบันไม่ได้มีอิทธิพลมากขนาดเมื่อก่อนแล้ว
ที่อยู่อาศัยของตระกูลสึคามิเนะคือคฤหาสน์ตระกูลสึคามิเนะที่ตั้งอยู่ในเขตฮิโมโรกิซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองไคโจว
ที่นั่นถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลสึคามิเนะซึ่งเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญของ
“ศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ” และเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานของเมืองไคโจว
สถานที่นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย
เป็นสิ่งปลูกสร้างใหม่ที่ยังไม่ได้สร้างมานานขนาดที่จะเสื่อมราคาลงได้ ซึ่งอยู่กลางทางระหว่างถนนที่จะเชื่อมต่อไปยัง
“อิยาฮิโกะนุ” ถนนเก่าที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ
ใน “บันทึกคาราบาชิยุคที่สาม”
เอกสารเก่าที่สืบทอดกันมาในตระกูลสึคามิเนะ นั้นได้มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งตอนก่อนสมัยเอโดะ
เคยอาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เป็นศาลาเล็กๆ ที่ไม่มีหลังคาจั่วมาด้วยเช่นกัน
ตระกูลมิจิโอกะ
ตระกูลของมิจิโอกะ ไอริ
ที่เป็นหนึ่งในบรรดานางเอก
นามสกุลมิจิโอกะนั้นมีความหมายว่าถนนที่จะมุ่งไปยัง
“โอกะ” ที่มีความหมายว่าสุสานจักรพรรดิ
ที่อยู่อาศัยของตระกูลมิจิโอกะคือคฤหาสน์ตระกูลมิจิโอกะที่ตั้งอยู่ในเขตฮาคุโระซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองไคโจว
สิ่งปลูกสร้างที่ถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลมิจิโอกะซึ่งเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญของ
“ศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ” และเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของเมืองไคโจว นั้นเป็นสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวแทนของเมืองไคโจว
และยังเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความสำคัญในด้านทิวทัศน์ของเมืองไคโจวอีกด้วย
ในตอนแรกนั้นเป็นคฤหาสน์สไตล์ญี่ปุ่นที่มีหลังคาจั่วจัดเรียงกันอย่างสลับซับซ้อน
แต่ว่าในปีโควบุนที่สิบเอ็ดก็ได้มีการต่อเติมใหม่ให้เป็นสไตล์ตะวันตกตามที่เห็นในปัจจุบัน
พวกทางเข้าหน้าบ้านหรือเตาผิงจะทำด้วยหินอ่อน
มีตกแต่งภายในด้วยพวกกระจกสีหรือโคมไฟ โดยของที่นำมาตกแต่งนั้นเป็นของที่ถูกเตรียมไว้ตั้งแต่ในสมัยไทโชถึงสมัยโควบุน
ทำให้แม้แต่ในตอนนี้ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความวิเศษไม่แพ้ภายนอกอาคารที่เป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์ญี่ปุ่นกับสไตล์ตะวันตก
และว่ากันว่าเป็นหนึ่งในโมเดลของคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกหลังใหญ่ที่โผล่มาในนิยาย “คดีฆาตกรรมคฤหาสน์เซมาริยะ” ผลงานชิ้นเอกของโคชิโร่ โอทาโร่ นักเขียนนิยายนักสืบในช่วงก่อนสงครามด้วยเช่นกัน
โรงเรียนเซย์โฮวคัง
สถาบันการศึกษาที่บริหารโดย “กลุ่มเซย์โฮว”
ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชน
ตั้งอยู่ในเขตฮาคุโระซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองไคโจว
จำนวนนักเรียนนั้นมีราวๆ
สองร้อยแปดสิบคนต่อชั้นปี มีชื่อย่อคือ “เซย์กาคุ”
ในยุคเมย์จิปีที่สามร้อยสิบเจ็ด โรงเรียนได้ถูกก่อตั้งโดย
“มิจิโอกะ เซย์ชู”
ผู้จบการศึกษาด้านอารยธรรมจีน ในฐานะ “โรงเรียนมัธยมปลายสตรีเซย์โฮว”
จากนั้นก็ได้มีการปรับระบบการศึกษาใหม่ในช่วงหลังสงคราม
และกลายเป็นโรงเรียนสหอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เดิมที่สถานที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่นั้นเป็นที่ตั้งของ
“ศาลเจ้าอิวาโจว” ซึ่งเป็นศาลเจ้ารองของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ เป็นศาลเจ้าที่มีพื้นที่เล็กและได้ทำการรวบรวมศรัทธาจากพื้นที่ใกล้เคียงในฐานะศาลเจ้าประจำเขต
ในสำนักงานของศาลเจ้านั้น “มิจิโอกะ บังเคย์” อาของผู้ก่อตั้งนั้นได้เปิดโรงเรียนกวดวิชาเพื่อทำการสอนหนังสือให้กับเด็กผู้หญิง
แล้วก็ได้กลายเป็นรากฐานของการสร้างโรงเรียนไป
ในช่วงหลังสงครามก็ได้กลายเป็นโรงเรียนสห
และได้มีพัฒนาอย่างก้าวกระโดดราวกับรับสืบทอดชื่อเสียงกับความสำเร็จในช่วงก่อนสงครามมา
ปริมาณนักเรียนจากต่างจังหวัดที่มาสอบเข้าก็เพิ่มขึ้น ผลก็คือได้มีการสร้างหอพักสำหรับโรงเรียนขึ้นมาหลายๆ
แห่งในเมืองไคโจว
ผู้อำนวยการคนปัจจุบันคือ “มิจิโอกะ โทคุโกะ” แม่ของมิจิโอกะ ไอริ
เทศกาลเซย์โคว
งานเทศกาลพิธีกรรมที่จะจัดขึ้นทุกปีของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ
เรียกง่ายๆ โดยคนในท้องถิ่นว่า “งานเทศกาลประจำปี”
จะคิดว่าเป็นรูปแบบที่พิเศษของ “เทศกาลโทริโนะอิจิ” ที่มีอยู่ในทั่วประเทศก็ได้
ที่ศาลเจ้าโออิมิฮิโกะจะจัดงานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน
แต่ไม่มีวันเวลาที่ตายตัวเหมือนศาลเจ้าอื่น
เรื่องวันเวลานั้นจะมีการถามเจตนารมณ์จากเทพโออิมิฮิโกะโนะมิโคโตะซึ่งเป็นเทพที่บูชา
และจะเลือกจัดจากวันในช่วงเวลาที่เป็นวันมงคลเข้ากับฤกษ์
นอกจากนี้เหตุผลที่ใช้ตัวคันจิ “โอโทริ” ในชื่องานเทศกาลก็เพราะมีรากฐานมาจากบันทึกตำนานว่าในตอนที่เทพปรากฏร่างออกมาในพื้นที่แห่งนี้
ได้มีมีไก่สีขาวสองตัวตามมาเป็นบริวารด้วย
เพราะแบบนี้ ผู้ส่งสารของเทพโออิมิฮิโกะโนะมิโคโตะจึงเป็นไก่สีขาว ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีอิทธิพลกับเรื่องที่ทำให้งานเทศกาลออกมาคล้าย
“เทศกาลโทริโนะอิจิ” ในปัจจุบันมากพอสมควร
“เทศกาลโทริโนะอิจิ”
ของจริงนั้นจะถูกจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ถึงจะมองจากทั่วประเทศแล้ว
ช่วงเวลาที่จัดงานเทศกาลของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะก็ยังถือว่าแปลกอยู่ดี
ในช่วงวันงานเทศกาลนั้น ที่ “ถนนหลักฮาจิมิยะ” (ตำหนักผึ้ง) ซึ่งเชื่อมต่อใจกลางเมืองเข้ากับเมืองส่วนเหนือและเมืองส่วนใต้
จะมีแผงลอยขายของพวกคราดมงคลมาเรียงรายกัน และจะมีนักท่องเที่ยวจากพื้นที่ข้างเคียงมากันมากจนเต็มเส้นทางสัญจรปกติ
ตำนานไทระโนะมาซาคาโดะของเมืองไคโจว
เมืองไคโจวเองก็มีตำนานพื้นเมืองที่เกี่ยวข้องกับไทระโนะมาซาคาโดะเล่าสืบต่อกันมาเช่นกัน
ในตอนที่หัวของมาซาคาโดะซึ่งถูกนำมาเสียบประจานที่เกียวโตได้ลอยขึ้นฟ้า, พุ่งผ่านท้องท้องฟ้าไปเพื่อตามหาร่างของตนเองด้วยความโกรธแค้น
และได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน หัวก็ได้ถูกทำให้สงบลงโดยอิวาบาจิไทชิซึ่งถูกส่งมาโดยเมียวเค็นซนชิโยวโอวโนะมิโคโตะ
สถานที่ที่หัวของมาซาคาโดะได้ร่วงลงไปก็คือศาลเจ้าด้านหลังของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะในปัจจุบัน เพื่อปกป้องดินแดนจากคอของมาซาคาโดะและความแค้นของมัน
ก็เลยมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นมา และได้เป็นที่มาของตำนานอิวาบาจิไทชิซึ่งหลงเหลืออยู่ในเมืองเดียวกันนั่นเอง
สำหรับเรื่องสุสานของไทระโนะมาซาคาโดะนั้น
ตำนานของย่านโอเท เขตจิโยดะ ในกรุงโตเกียวถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุด
แต่ว่าไม่ใช่แค่คอเท่านั้น ส่วนแขนหรือลำตัวก็บินมาด้วย
พื้นที่ที่ว่ากันว่าหัวถูกผนึกไว้เองก็มีหลายแห่งเช่นกัน
สำหรับตำนานไทระโนะมาซาคาโดะในเมืองไคโจวนั้นเป็นของที่ถูกเล่าสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น------ตั้งแต่ช่วงก่อนยุคเอโดะ
เดิมที่นั้นเป็นตำนานแบบเก่าที่ถูกเล่าสืบต่อมายังอิมิเบโนะ
(ชื่อเก่าของเมืองไคโจว) แต่ว่าพอมาพิจารณารวมกับตำนานที่มีเรื่องของไทระโนะมาซาคาโดะรวมอยู่ด้วยแล้วก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมา
หลักฐานก็คือ ในเมืองไคโจวหรือบริเวณรอบนอกนั้นไม่มีที่มาของตำนานมาซาคาโดะอื่นนอกจากตำนานของอิวาบาจิไทชิ
ถูกเล่าสืบต่อกันมาเลย
อีกอย่างก็คือ
ถึงจะไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์แล้ว พื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งรวมเมืองไคโจวเข้าไปด้วยนั้นได้เริ่มถูกปกครองโดยทหารของของวาตานาเบะมาตั้งแต่สมัยเฮย์อัน
ในช่วงสงครามระหว่างเกนจิกับเฮเกะ เพราะเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับเกนจิซึ่งตอบรับการรวมพลของโยริโทโมะ
ก็เลยมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับเกนจิหลงเหลืออยู่มาก
อิวาบาจิไทชิ
ตามตำนานแล้วเป็นผู้ก่อตั้งศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ
ในตอนที่หัวของไทระโนะมาซาคาโดะจะบินกลับมาที่คันโตอีกครั้ง
เทพฟุทาระซันกับเทพคันมา เทพท้องถิ่นที่ปกป้องคุ้มครองคันโตก็ได้ไปของความช่วยเหลือจากเมียวเค็นซนชิโยวโอว
ทำให้รูปปั้นฟุโดเมียวโอของวัดโทวไดกลายเป็นผึ้งจำนวนมหาศาล ไล่ตามหัวของมาซาคาโดะไปและผนึกมัน
แต่ว่าความแค้นของมาซาคาโดะนั้นรุนแรงมาก
หลังจากที่ได้ใช้พลังทั้งหมดไปก็ร่วงลงไปยังผืนดินของอิมิเบโนะและแพร่กระจายคำสาป
ทำให้ผู้คนในดินแดนประสบปัญหา
ต่อมา
ด้วยพลังของเมียวเค็นซนชิโยวโอว
ผึ้งตัวที่ใหญ่ที่สุดได้กลายร่างเป็นคนชื่ออิวาบาจิไทชิ
ผึ้งที่เหลือแต่ละตัวก็ได้กลายเป็นเด็กรับใช้และติดตามไทชิมา
ด้วยอาวุธที่ได้รับมาจากเมียวเค็นซนชิโยวโอว
ทำให้ในที่สุดความแค้นของมาซาคาโดะก็ได้ถูกผนึกลงไป
ในตอนนั้น
ผืนปฐพีได้ส่งเสียงดังก้องและเกิดความเปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศครั้งใหญ่
และเป็นที่มาของ
“คุซุริวเร็ทเซคิกุน” (กลุ่มอุทยานหินมังกรเก้าเศียร)
ในปัจจุบัน
อิวาบาจิไทชิกับพวกเด็กรับใช้ได้อยู่ที่ดินแดนนั้นต่อไปทั้งๆ
อย่างนั้น และได้สร้างศาลเจ้าเพื่อสักการะบูชาเมียวเค็นซนชิโยวโอว หลังจากนั้นพวกเขาก็จะโผล่มาทุกคืนเพื่อคอยรับฟังเรื่องราวของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นและปัดเป่าความไม่สบายใจออกไปให้
ส่วนเรื่องที่ทำไมถึงต้องโผล่มาตอนกลางคืนนั้น ในขณะที่รับฟังความไม่สบายใจของผู้คนและช่วยปัดเป่ามันออกไปร่างกายของไทชิก็ได้กลายเป็นสีดำ
ราวกับได้กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว เพราะไม่อยากให้ร่างกายนั่นสร้างความตื่นกลัวให้กลับผู้คนก็เลยโผล่มาเฉพาะตอนกลางคืน
อาเมโนะฮาฟุริโนะมิโกะ
อาเมโนะฮาฟุริโนะมิโกะ
คือมิโกะที่จะระบำคางุระ “ชิซาไม” (ระบำสี่คน) บวงสรวงแก่เทพเจ้าโออิมิฮิโกะโนะมิโคโตะ
เทพเจ้าหลักของศาลเจ้า
ชิซาของ
“ชิซาไม” หมายถึงพวกเด็กรับใช้ของอิวาบาจิไทชิซึ่งเป็นผู้กล้าที่อยู่ในตำนานเดียวกัน
แต่ละคนก็คือ “นิวโทโดวชิ” “ทาวาระโดวชิ” “มาโทระโดวชิ” “ทาคิยาฉะโดวชิ”
จุดที่น่าสนใจมากคือ
มิโกะหนึ่งคนจากในสี่คนจะต้องไปเป็นผู้ติดตามเทพแทนไก่สีขาวซึ่งเป็นวิญญาณส่วนหนึ่งของเทพโออิมิฮิโกะโนะมิโคโตะตลอดคืน
ส่วนระบำคางุระนั้นมิโกะอีกสามคนที่เหลือจะเป็นผู้ร่ายรำ
แขกที่มาศาลเจ้าจะได้เห็น
“ซานซาไม” (ระบำสามคน) ด้วยเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่มิโกะตำแหน่งไหนในสี่คนจะหายไปนั้นว่ากันว่าจะต่างกันออกไปตามปี
ชุดมิโกะที่ “อาเมโนะฮาฟุริโนะมิโกะ” ต้องใส่นั้นจะเป็นชุดพิเศษไม่เหมือนกับมิโกะทั่วประเทศ
ตามบันทึกของศาลเจ้า ชุดที่ใส่จะเป็นชุดที่เลียนแบบชุดของเด็กรับใช้ที่ติดตามอิวาบาจิไทชิมา
นอกจากนี้
ในตอนระบำคางุระจะต้องใส่หน้ากากหมาป่าด้วย
ที่เป็นแบบนี้ก็มีที่มาจากตำนานอิวาบาจิไทชิเช่นเดียวกัน
ถ้าอ้างอิงจากตำนานแล้ว
ร่างจริงของไทชินั้นจะเป็นเทนกุ ร่างจริงของพวกเด็กรับใช้ก็เป็นพวกเทนกุภูเขาหรือเทนกุแม่น้ำด้วยเช่นกัน
เนื่องจากเทนกุนั้นถูกเรียกว่าอามาคิสึเนะ(จิ้งจอกสวรรค์)
ก็เลยมีจุดเชื่อมต่อระหว่างเทนกุกับจิ้งจอกเกิดขึ้น และดูเหมือนว่าพอยุคสมัยผ่านไปก็เกิดการผสานความเชื่อเข้าด้วยกัน
ฟุรุสุเสะ
แป้นหมึกเขียนพู่กันที่สืบทอดกันมาในศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ
เป็นทันเคย์เค็น(แป้นหมึกจีนชั้นดีที่มาสร้างมาจากหินในหุบเขาทันเคย์ ประเทศจีน)
ชนิดหนึ่ง และเป็นศิลปกรรมชั้นเลิศที่บ่งชี้ว่าสร้างขึ้นด้วยหินที่ขุดมาจากหุบเขาลึกในนครกวางโจว
มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
สิ่งนี้ในศาลเจ้าโออิมิฮิโกะมีอีกชื่อหนึ่งคือ
“ฮันโรวเค็น” (แป้นหมึกกรงนก)
คาดว่าน่าจะเป็นทันเคย์เค็นในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ
ในบันทึกของศาลเจ้าบันทึกไว้ว่าถูกทำขึ้นด้วยหินมีค่าที่ขุดมาจาก 坑仔岩 (อานาโกะอิวะ ?) ในแถบเคียวนัน
เป็นอุปกรณ์พิธีกรรมสำหรับงานเทศกาลของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ
โดยจะนำดอกฮิเมะชากะซึ่งบานในพื้นที่เดียวกันมาบดทั้งต้นและต้ม
จากนั้นผสมเข้าด้วยกันกับยาน้ำที่ถูกสร้างขึ้นโดยวิธีการลับที่ห้ามเผยแพร่
แล้วก็เทลงไปในแป้นหมึก
หลังจากนั้นก็จะนำเส้นไหมที่ถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้วไปจุ่มแล้วย้อมอย่างพิถีพิถัน ซึ่งด้ายเหล่านั้นจะถูกใช้เพื่อทอขึ้นเป็นสายเชือกของแต่ละตระกูล
โชว
ดาบที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลโอคุชิโระ
ถูกตั้งชื่อว่า “โชว” ซึ่งมีความหมายว่านกกระจิบ
มีรูปร่างเป็นดาบตรงคล้ายกับดาบของสำนักกาซันแบบเก่า
มีลายดาบที่ประณีตมากและคล้ายกับลายอายาสุกิฮาดะ
ในบรรดาดาบที่สืบทอดกันมาของแต่ละตระกูลนั้น พูดอย่างภูมิใจได้เลยว่ามีรูปร่างเหมือนดาบญี่ปุ่นมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่ถือมันก็ต้องมีฝีมือในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน
โคสึ
ดาบที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลสึคามิเนะ
ถูกตั้งชื่อว่า “โคสึ” ซึ่งมีความหมายว่าเหยี่ยว
มีรูปร่างแปลกคล้ายกับสึคุชินางินาตะซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับดาบของแผ่นดินใหญ่
โครงสร้างของส่วนใบมีดนั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับอุโนะคุบิซึคุริ (เป็นใบมีดชนิดหนึ่ง)
ถึงรูปร่างจะดูใหญ่นิดหน่อย แต่อาจเป็นเพราะถูกตีขึ้นด้วยเหล็กกล้าชนิดพิเศษ ก็เลยเบามาก เป็นน้ำหนักที่ต่อให้ใช้มือเดียวก็ยังถือได้
เกคิ
ดาบที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลมิจิโอกะ
ถูกตั้งชื่อว่า “เกคิ” ซึ่งมีความหมายว่านกกระสา
มีรูปร่างเป็นดาบที่ใส่ใบมีดสองเล่มเข้าไปยังขอบของส่วนโค้งตรงกลาง
เป็นดาบสองคมที่มีรูปร่างแปลก ดูคล้ายดาบยุโรป
ส่วนรางน้ำนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต
แต่ก็มีโครงสร้างที่หนาและเทอะทะคล้ายกับมีดนางาสะที่พวกมาทากิ (กลุ่มนักล่าสัตว์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ใช้กัน
เพราะแบบนั้น ถึงจะยาวกว่าดาบสั้นเพียงเล็กน้อย
แต่ก็มีน้ำหนักที่ทำให้ถือมือเดียวได้ลำบาก
โอว
ดาบที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลทาคางิ
ถูกตั้งชื่อว่า “โอว” ซึ่งมีความหมายว่าเป็ดแมนดารินตัวเมีย
มีรูปร่างเป็นดาบสั้นคล้ายดาบโบราณสองคม
มีโครงสร้างแบบดาบญี่ปุ่นทั่วไป บริเวณส่วนกลมที่ปลายด้ามจับมีห่วงร้อยอยู่สองเส้น
มีสภาพไม่ค่อยดีเท่าดาบที่สืบทอดกันมาของตระกูลอื่น แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าไม่มีทางหักได้เองตามธรรมชาติ
เค็นโจวยนชู
แต่ละตระกูลที่เป็นผู้สนับสนุนศาลเจ้าโออิมิฮิโกะจะมีเหรียญเก่าแก่ที่เรียกว่า
“เค็นโจวยนชู” (สี่รูปแบบแห่งเค็นโจว) สืบทอดต่อกันมา
ในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้สร้างหรือวิธีการผลิตนั้นยังเป็นปริศนาอยู่มาก
เป็นของปริศนาที่มีชื่อเสียงแม้แต่ในบรรดานักวิจัย
มีของที่เรียกว่าโฮวโคเกียคุ ซึ่งเป็นของที่สร้างเลียนแบบดีไซน์ในสมัยโบราณโดยคนรุ่นหลังอยู่ด้วยเช่นกัน
แต่ว่า “เค็นโจวยนชู” นี้เป็นของที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือระดับสูงในสมัยโบราณแน่นอน
และเรียกได้ว่าเป็นของที่ดูไม่สอดคล้องกับสถานที่และเวลาอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน
จิโอวมารุจิชิ
เหรียญเก่าแก่ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลโอคุชิโระ
เป็นรูปสิงโตครอบครองหินมีค่า
กำลังเป็นที่สงสัยว่าเป็นของในสมัยราชวงศ์ฉินหรือไม่
อาโอมาวาริ
เหรียญเก่าแก่ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลสึคามิเนะ
เป็นรูปงูสีเขียวกำลังเลื้อยขด
กำลังเป็นที่สงสัยว่าเป็นของในสมัยราชวงศ์ฉินหรือไม่
จิโอวมารุโคมะ
เหรียญเก่าแก่ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลมิจิโอกะ
เป็นรูปโคมะอินุที่อ่อนวัย
กำลังเป็นที่สงสัยว่าเป็นของในสมัยราชวงศ์ฉินหรือไม่
เพราะมีลักษณะคล้ายกับจิโอวมารุจิชิ
สีเองก็คล้ายกันเช่นกัน ก็เลยมีการคาดเดาว่าอาจจะเป็นของที่ถูกสร้างโดยคนๆ เดียวกัน
เซกิเซ็น
เหรียญเก่าแก่ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของตระกูลทาคางิ
เป็นรูปจักจั่นสีแดง มีการคาดเดาว่าเป็นของสำหรับใส่ไว้ในปากของคนตายในพิธีฝังศพสมัยต้นราชวงศ์ฮั่น
ซานาดะฮิโมะ
ซานาดะฮิโมะ (สายเชือก)
คือเชือกที่เรียบเสมอกันและมีช่องว่างแคบที่ทอขึ้นโดยเครื่องถัก
ส่วนชื่อนั้นมีทฤษฎีว่าที่มีมาจากเรื่องที่ซานาดะ มาซายูกิ
ลูกชายของโนบุชิเงะได้ทำการค้าขายกับหลายๆ พื้นที่ โดยผ่านพ่อค้าในซาไค
แต่ว่าในเมืองไคโจวนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าซานาดะฮิโมะจะการมีสืบทอดกันมาตั้งแต่ช่วงก่อนยุคเซ็นโงคุ
ด้วยลักษณะเฉพาะที่ไม่ยืดง่ายและทดทานของเชือก
ก็เลยถูกใช้เพื่อแขวนของหนักหรือผูกของเข้าด้วยกันแน่นๆ
ในเชือกส่วนหนึ่งนั้น จะมีลายที่ถูกแต่งตามตราประจำตระกูลหรือบุคคล
ซึ่งจะถูกใช้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันตระกูลหรือตัวบุคคล
ลายตรงส่วนปลายเชือกจะต่างกันออกไปตามตระกูลผู้สนับสนุนที่สำคัญของศาลเจ้าโออิมิฮิโกะ
อย่างตระกูลทาคางิซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลัก, ตระกูลโอคุชิโระ, ตระกูลสึคามิเนะ, ตระกูลมิจิโอกะ โดยจะใช้ลายสืบที่ทอดกันมาในตระกูลรุ่นต่อรุ่น
เป็นของที่จะถูกใช้ในเทศกาลพิเศษ “โออิมิฮิโกะโกะเอ็นโฮวชูคุไดไซ” (เทศกาลใหญ่เฉลิมฉลองแสดงความนับถือโชคชะตาโออิมิฮิโกะ) ที่จะจัดขึ้นในทุกๆ รอบยี่สิบปี
ในระหว่างช่วงพิธีกรรมนั้น
ญาติทั้งหมดของแต่ละตระกูลที่เป็นตระกูลผู้สนับสนุนศาลเจ้าจะต้องใส่หรือพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
ทาคางิฮิโตะเอโอริ
ลายของตระกูลทาคางินั้นมีชื่อว่า “โทโมสุเรบะอะดานะคาเซะ”
ซึ่งนำชื่อมาจากในบทกวีของโอโนะ โนะ โคมาจิซึ่งเป็นนักกวีคนหนึ่งจากในกลุ่มสามสิบหกกวีผู้ยิ่งใหญ่
โอคุชิโระฮิโตะเอโอริ
ลายของตระกูลโอคุชิโระมีชื่อว่า “ฮารุกาซุมิคาสุมิเตะอินิชิคาริงะเนะ” ซึ่งนำชื่อมาจากในบทกวีของคิ โนะ โทโมโนริซึ่งเป็นนักกวีคนหนึ่งจากในกลุ่มสามสิบหกกวีผู้ยิ่งใหญ่
สึคามิเนะฮิโตะเอโอริ
ลายของตระกูลสึคามิเนะมีชื่อว่า “อิซาโคโตะโทะวะมุมิยะโคโดริ” ซึ่งนำชื่อมาจากในบทกวีของอาริวาระ โนะ นาริฮิระ ซึ่งเป็นนักกวีคนหนึ่งจากในกลุ่มสามสิบหกกวีผู้ยิ่งใหญ่
มิจิโอกะฮิโตะเอโอริ
ลายของตระกูลมิจิโอกะมีชื่อว่า “โคโตะโนะเนะนิมัทสึคาเซะ” ซึ่งนำชื่อมาจากในบทกวีของไซกู โนะ เนียวโกะซึ่งเป็นนักกวีคนหนึ่งจากในกลุ่มสามสิบหกกวีผู้ยิ่งใหญ่
少女神域∽少女天獄 -The Garden of Fifth Zoa-
Shoujo Shin'iki ~ Shoujo Tengoku -The Garden of Fifth Zoa-
เขตแดนศาลเจ้าของหญิงสาว ~ พันธนาการสวรรค์ของหญิงสาว -สวนแห่งเขตบดบังชั้นที่ห้า-
ทีมงาน
นักเขียนเนื้อเรื่อง
LEGIOん
獅子雰麓
剣技マナ
ภาพ
早川ハルイ
よう太
石井久雄
森山しじみ
Producer
剣技マナ
-
วางจำหน่ายวันที่ 26 เดือนเมษายน ปี 2012 -
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
จัดพิมพ์โดย
有限会社ラスエル
ห้อง
203 ตึกฮาเซงาวะที่ 2 บ้านเลขที่ 4-14-6
ทาคาดะโนะบาบะ เขตชินจูกุ กรุงโตเกียว
ออกแบบและเรียบเรียงโดย
うさぎ旅館
http://lass.jp/
©Lass
Company
การลอกเลียนหนังสือเล่มนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต, ถ่ายโอนผลงานที่ลอกเลียนโดยไม่ได้รับอนุญาต
รวมไปถึงแจกจ่ายนั้นไม่อยู่ในข้อยกเว้นของกฎหมายลิขสิทธิ์
และไม่อนุญาตให้ไปขอร้องให้กลุ่มอื่นเช่นตัวแทนจำหน่าย ทำการลอกเลียนหนังสือเล่มนี้ ถึงจะเพื่อใช้เป็นการส่วนตัวก็ตามที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น