สวัสดีครับ ! วันนี้จะมาบอกว่าในที่สุดผมก็เขียน Blog มาครบ 10 ปีแล้วล่ะครับ ! (เริ่มนับตั้งแต่สมัย Exteen)
แล้วไหนๆครบ 10 ปีทั้งทีเลยอยากจะทำอะไรเป็นที่ระลึกไว้ซักหน่อย
จึงขอประเดิมโพสต์ฉลองครบรอบ 10 ปีนี้ด้วยงานแปลเรื่องสั้น Sekai de Ichiban Toutoi Hikari จาก Visual Fanbook ของเกม PriministAr !!!
世界で一番とうとい光
Sekai de Ichiban Toutoi Hikari
แสงสว่างที่ล้ำค่าที่สุดในโลก
link งานแปล : https://vermillionend.blogspot.com/2022/03/priministar-sekai-de-ichiban-toutoi.html
link ข้อมูลเกม : https://vermillionend.blogspot.com/2017/08/priministar.html
คำเตือน : เหตุการณ์ในเรื่องสั้น
Sekai de Ichiban Toutoi Hikari นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังรูทเซ็นริในเกม
PriministAr และหลังเนื้อเรื่องของเซ็นริใน Fandisc จึงต้องเล่นรูทเซ็นริในเกม PriministAr
ให้จบก่อนแล้วค่อยมาอ่าน
และถ้าให้ดีควรเล่นเนื้อเรื่องของเซ็นริใน Fandisc
ให้จบก่อนด้วย
ขอย้ำว่าถ้ายังเล่นรูทเซ็นริในเกม PriministAr ไม่จบ อย่าเผลอคลิกเข้าไปเชียวล่ะ
ไหนๆพูดแล้วก็ขอเสริมอีกหน่อยว่าเกม PriministAr นี้ต้องเล่นรูทเซ็นริเป็นลำดับสุดท้ายเท่านั้น เพราะหลังจากเล่นรูทของเธอจบแล้วจะเกิดอาการไม่อยากไปเล่นรูทอื่นต่ออีกเลย
เนื่องจากครบรอบ 10 ปีนับจากที่เริ่มเขียน Blog มา ผมเลยลองมองย้อนกลับไปดูตนเองในอดีตอีกครั้ง(เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้)
จากนั้นก็รู้สึกเหลือเชื่อกับตนเองในตอนนี้มาก(เป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้เช่นกัน) จึงขอใช้โอกาสครบรอบ 10 ปีนี้เล่าที่มาที่ไปของ Blog นี้แบบคร่าวๆให้ทุกท่านได้ทราบอีกครั้งครับ
เมื่อเกือบ 11 ปีก่อน … ในปี 2011 ผมคือเด็กนักเรียนกระจอกๆที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างนอกจากความจำกับความพยายาม
เรียนก็ไม่เก่ง (ได้คะแนนดีเฉพาะวิชาที่เน้นความจำ
เช่น ภาษาอังกฤษ)
ในกรณีที่ฝึกฝนมาด้วยเวลาเท่ากัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็เทียบคนอื่นไม่ได้
(ยกเว้นอะไรที่ใช้ความจำเป็นหลัก)
หากจะทำให้ได้เท่าคนอื่นก็มีแต่จะต้องใช้ความพยายามที่มากกว่าเข้าแลกเท่านั้น
ตอนนั้นเลยรู้สึกว่าชีวิตตนเองไร้ความหมายมาตลอด
เพราะรู้สึกว่าตนนั้นไร้ความหมาย จึงอยากจะทำอะไรสักอย่างหลงเหลือไว้
ไม่อยากเกิดมาแล้วตายลงโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
ในตอนนั้นเอง ผมได้บังเอิญไปอ่านมังงะ Shingetsutan Tsukihime แล้วรู้สึกประทับใจคุณน้องอากิฮะมาก
ก็เลยตัดสินใจว่าชีวิตนี้จะขอทำอะไรหลงเหลือไว้สักอย่างเพื่อไม่ให้ตนนั้นไร้ความหมาย
ซึ่งนั่นก็คือการแปล Tsukihime รูทฮิซุย ! (หืม ทำไมไม่ใช่รูทคุณน้องอากิฮะงั้นเหรอ ก็เพราะรูทคุณน้องไม่มี Happy
End ยังไงล่ะ !)
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเริ่มแปล Tsukihime รูทฮิซุย ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2011 และแน่นอนว่าต้องเป็นการแปลจากภาษาอังกฤษ เพราะตัวผมในตอนนั้นไม่มีความคิดที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย
แล้วทำไมตัวผมที่ไม่มีความคิดจะเรียนภาษาญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อยถึงได้ตัดสินใจเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างนั้นหรือ
เรื่องนั้นมันเริ่มมาจากในเดือนกรกฎาคมปี 2011
ในช่วงนั้นผมก็ยังแปล Tsukihime รูทฮิซุยต่อเนื่องมาโดยไม่ล้มเลิกความตั้งใจแม้แต่น้อย
แล้วหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง (20 กรกฎาคม 2011) ผมไปห้างสรรพสินค้ากับเพื่อน
(ไปซื้อมังงะ Higurashi บทสังหารหมู่เล่ม
6 จากนั้นก็แวะไปเกมเซ็นเตอร์กับเพื่อน)
ตอนนั้นผมคุยกับเพื่อนเรื่อง Visual Novel แล้วเพื่อนดันบอกว่าเกมซีรีย์
Sono
Hanabira
ได้รางวัล Eroge ยอดเยี่ยม ส่วน Fate/stay night ไม่เคยได้รางวัล ซึ่งผมฟังแล้วก็รู้สึกขัดๆ
เย็นวันนั้น ผมเลยไปตามหาความจริงด้วย Google แล้วก็บังเอิญไปพบกับบทความแนะนำเกม
Tasogareno Sinsemilla ซึ่งได้รางวัล Moe Game Award 2010 (ปัจจุบันบทความที่ว่าหายสาบสูญไปแล้ว)
ผมอ่านบทความแนะนำเกมนั้นแล้วก็เกิดความรู้สึกที่ว่า
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องเล่นเกมนี้ให้ได้” ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทว่า ตัวผมนั้นอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก และเกมก็ไม่มี
patch อังกฤษ
ในตอนที่ผมกำลังจะถอดใจว่ามีแต่ต้องรอคนแปลอังกฤษนั้นเอง
ผมก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ตัวเองอย่างรุนแรง
ว่าทำไมถึงต้องเอาแต่พึ่งพาคนอื่น ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลย
ด้วยความคิดนั้น ผมจึงตัดสินใจเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อมาอ่าน
Tasogare
no Sinsemilla !
ในวันนั้น ผมได้สลักเสลาตั้งความฝันครั้งแรกในชีวิตขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ชีวิตของผมมีเป้าหมาย
พอตัดสินใจได้แล้วก็ไม่รอช้า ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2011 ผมรีบไปซื้อหนังสือ Minna no Nihongo เล่ม 1 มาอ่านทันใด
ระหว่างที่มุ่งมั่นเรียนภาษาญี่ปุ่น ผมก็ยังคงแปล
Tsukihime
รูทฮิซุยต่อเนื่องเรื่อยมา
หลังแปลเสร็จและเช็คสำนวนเรียบร้อยแล้ว ในวันนี้เมื่อ
10 ปีก่อน(23 มีนาคม 2012)ซึ่งเป็นวันแรกหลังชีวิตนักเรียนมัธยมปลายของผมจบลง(จริงๆยังเหลือพิธีจบการศึกษาอยู่) ผมได้สมัครสมาชิกเว็บ
Exteen
และเปิด Blog “อัสดงยามตะวันคร้ามแสง” เพื่อนำงานแปล Tsukihime รูทฮิซุยมาลง
ตอนนั้นคิดไว้แค่ว่า Blog นี้คงจะลง Tsukihime รูทฮิซุยอย่างเดียวแล้วปล่อยทิ้งไว้
ทว่า การเรียนภาษาญี่ปุ่นนั้นไม่ได้ราบรื่น
แม้จะอ่าน Minna no Nihongo จบ 4 เล่มแล้วก็ยังไม่พอที่จะอ่านภาษาญี่ปุ่นที่ใช้กันในชีวิตจริงได้
ตอนอ่านประโยคที่ไม่ได้ใช้ไวยากรณ์ในหนังสือเรียน
ผมต้องแกะ Text แล้วอ่านไปแปลไปทุกประโยค ไม่อย่างนั้นจะอ่านไม่ได้
วันหนึ่ง มีคนนำรูปข้อมูลตัวละครของ “โทโนะ เร็น” จากเกม Natsuzora no Perseus
มาแปะในเว็บ
Tirkx (เว็บบอร์ดอนิเมะชื่อดังซึ่งปัจจุบันปิดไปแล้ว)
พอได้ยินว่าเป็นตัวละครน้องสาวจากค่าย minori แล้วก็สนใจอยากรู้เรื่องราวมาก
ผมจึงแกะ Text แล้วอ่านไปแปลไปทุกประโยค
ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงกว่ากับประโยคแค่ไม่กี่ประโยค
แต่ชัยชนะในครั้งนั้นทำให้ผมเกิดความฮึกเหิม ว่าถ้าแปล
1 หน้าได้แล้วทำไมจะแปลที่เหลือไม่ได้
จึงเกิดเป็นงานแปล “Natsuzora no Perseus” ซึ่งเป็นงานแปลภาษาญี่ปุ่นชิ้นแรก
และเป็น Visual
Novel Preview ชิ้นแรกของ Blog
นี้
งานแปล Natsuzora no Perseus ทำให้ผมคิดว่าตัวเองพออ่านภาษาญี่ปุ่นได้แล้ว
ก็เลยเกิดห้าว ลองลงสนามจริงดูครั้งแรก โดยการเลือกเกมง่ายๆอย่าง Imouto Smile มาเล่น
…ก่อนจะแพ้ราบคาบสุดๆ ถ้าไม่อ่านไปแปลไปนี่ไม่รู้เรื่องจริงๆ
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอดใจ ตัดสินใจลุยต่อไปโดยอ่านไปแปลไปทุกประโยค
จนในที่สุด หลังผ่านไปสักพักก็เริ่มอ่านได้โดยไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทยก่อนแล้ว
แม้จะอ่านภาษาญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องอ่านไปแปลไปแล้ว
แต่ผมก็ยังคงแปล Preview เกมอื่นๆต่อ
จาก Natsuzora no Perseus และ Imouto Smile ทำให้ผมสัมผัสได้ว่าการแปลจะทำให้ผมเก่งภาษาญี่ปุ่นขึ้นเรื่อยๆ
ผมจำเป็นต้องเก่งขึ้นเพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง
ด้วยเหตุนั้น ผมจึงแปลข้อมูล Visual Novel ลง Blog ต่อมาเรื่อยๆ (จริงๆมีอีกเหตุผลคือจะได้นำเกมที่ชอบไปอวยให้คนอื่นดู)
แม้จะมีบางครั้งที่รู้สึกท้อกับปริมาณ เช่น ตอนแปลนิยายครั้งแรก
ผมแปล Fuyuzorano Perseus บทแรกโดยใช้ไปเวลา
4 วันเต็มกับตัวหนังสือแค่
6 หน้า
แต่ก็สามารถแปลอีก 4 บทที่เหลือได้โดยบอกกับตัวเองว่า “ถ้าแปลบทแรกได้ ทำไมจะแปลบทที่เหลือไม่ได้ ขอแค่ทำแบบนี้อีก 4 ครั้งก็ชนะแล้ว”
นับจากที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ผมก็พยายามมาตลอด
2 ปี 9 เดือนโดยไม่ลดละ
ผมสามารถทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ในฤดูร้อนปี 2014 (Operation Skuld)
หลังจากนั้นเอง ผมก็ยังคงแปลข้อมูล Visual Novel ลง Blog เรื่อยมา
แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้วและไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นต่อไปแล้วก็จริง
แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงคุณค่าของงานแปล
รู้สึกสนุกกับการได้เรียงร้อยถ้อยคำภาษาญี่ปุ่นให้กลายเป็นภาษาไทยสวยๆ
ได้นำเกมที่ชอบไปอวยให้คนอื่นดู
สัมผัสได้ว่าหนทางที่ตนก้าวเดินมานั้นไม่ไร้ความหมาย
เพราะสามารถสร้างอะไรบางอย่างเหลือทิ้งไว้ได้
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเขียน Blog ต่อเนื่องเรื่อยมา
นับจากตอนนั้นก็มีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นหลายอย่าง
ได้ทุนไปศึกษาภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น
ที่ญี่ปุ่นก็ตัดสินใจลงเรียนวิชาภาษาโบราณด้วย เพื่อจะได้ใช้ต่อกรกับเกมของค่าย light
สอบ N1 ผ่านด้วยคะแนน part อ่าน 60/60 และ part คำศัพท์เกือบเต็มมาหลายครั้ง (ส่วนคะแนน part ฟังอย่าพูดถึง
พินาศสุดๆ สอบตกด้วยคะแนนสูงเวอร์ก็เคยมาแล้ว)
สอนภาษาญี่ปุ่นเป็นงานอดิเรกเพื่อให้รู้สึกว่าตนไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่า
จนไปๆมาๆลูกศิษย์สอบผ่าน N4 ซะงั้น
สร้างสรรค์ผลงานต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแปลนิยาย, Spoil เกม, เขียนบทความ ฯลฯ
ปัจจุบันผมแปล Visual Novel Preview มาได้ 144 บทความแล้ว
ทุกครั้งที่มองย้อนกลับไปดูตนเองในอดีตก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดประโยคเดิมซ้ำๆว่า
“ตอนนั้นไม่คิดเลยว่าจะมาได้ไกลถึงขนาดนี้”
ถ้าจะให้ผมพูดอะไรทิ้งท้ายไว้สักประโยค(ไม่ถนัดพูดอะไรแบบนี้เลยแฮะ)ก็คงจะเป็น “การเรียนรู้นั้น ไม่ว่าจะไร้พรสวรรค์ขนาดไหน ขอแค่ไม่ตายหรือล้มเลิกก่อน ย่อมไปได้ถึงที่หมายในสักวันหนึ่ง” (← ใช้ได้กับบางเรื่องเท่านั้น โปรดใช้จักรยานในการรับชม)
คินุฮาตะ ไซไอ
สุดท้ายนี้จะขอแนะนำตัวละครที่ผมยึดถือเป็นไอดอลในการเขียน
Blog ครับ
เธอคือ “คินุฮาตะ ไซไอ (Kinuhata Saiai)” จาก “อินเด็กซ์ คัมภีร์คาถาต้องห้าม
(Toaru Majutsu no Index)”
ให้พูดตามตรง ในเรื่องอินเด็กซ์ ผมก็ไม่ได้ชอบเธอเป็นพิเศษหรอกครับ
ตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องอินเด็กซ์คือ
“คามิโจ โทมะ” พระเอกของเรื่อง ส่วนนางเอกก็เชียร์
“มิซากะ มิโคโตะ” เอสแห่งโทคิวะไดกับ “โชคุโฮ มิซากิ” ควีนแห่งโทคิวะได (เชียร์พอๆกันทั้งคู่)
แล้วไหงไซไอถึงมาเป็นไอดอลที่ผมยึดถือในการเขียน Blog ได้งั้นหรือ ?
นั่นเป็นเพราะผมถูกใจความคิดเธอครับ
ไซไอนั้นชอบดูภาพยนตร์เกรด B และเกรด C เป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่ามันจะนอกกระแสหรือคนส่วนใหญ่มองว่าห่วยแค่ไหน
เธอก็ยังคงสนุกกับภาพยนตร์เหล่านั้นต่อไปโดยไม่สนกระแสสังคม
ตัวผมเองก็เขียน Blog เพราะความชอบล้วนๆ
แม้จะแทบไม่มีคนเข้ามาอ่าน ผมก็ยังคงเขียนต่อไป
เกมที่หยิบยกมาเขียนใน Blog ก็เป็นเกมที่ตัวเองถูกใจล้วนๆ
ไม่ได้ตามกระแสเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าเกมจะเก่าขนาดไหน (ที่เอามาลง
Blog เร็วๆนี้ก็ 11eyes CrossOver ที่วางจำหน่ายเมื่อเกือบ
13 ปีที่แล้ว กับ Chiisana Kanojo no Serenade ที่วางจำหน่ายเมื่อ
9 ปีแล้ว)
ไม่ว่าเกมจะนอกกระแสหรือคนส่วนใหญ่มองว่าห่วยแค่ไหน
(ที่เอามาลง Blog เร็วๆนี้ก็ Koakuma Risa กับ Kimi ni Tomoru Hi)
ขอแค่ผมถูกใจเกมเหล่านั้น ผมก็จะนำเกมเหล่านั้นมาเขียนลง
Blog โดยไม่สนใจกระแสสังคม
มีบ้างเป็นบางครั้งที่ Blog นี้จะเขียนถึงเกมที่กำลังเป็นกระแส
(เร็วๆนี้ก็มีซินเดอเรลล่าหลังเลิกเรียนกับ Seishun Fragile) แต่นั่นก็เป็นเพราะผมถูกใจเกมเหล่านั้นพอดี
แล้วไหนๆก็จะเขียนถึงในสักวันหนึ่งอยู่แล้วเลยเร่งให้เข้ากับกระแส
ผมรู้สึกว่าสไตล์การเขียน Blog ของตัวเองนั้นคล้ายกับสไตล์การรับชมภาพยนตร์ของไซไอมาก
ไม่ว่าสังคมจะมองว่าเก่าล้าสมัยหรือนอกกระแสแค่ไหน
ก็ขอทำในสิ่งที่ตนชอบต่อไปโดยไม่แคร์สายตารอบข้าง !
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้ยึดถือ “คินุฮาตะ ไซไอ” เป็นไอดอลในการเขียน Blog ครับ
…
…
…
เดี๋ยวนะ ไม่ดิ ยัยนี่ไม่ได้ดูหนังเกรด B เพราะหนังเกรด B เรื่องนั้นมันสนุก
แต่ที่ยัยนี่ชอบดูหนังเกรด B ก็เพราะหนังเกรด B มันคือหนังเกรด B นี่หว่า !!!
(คุณเธอไม่สนใจหนังฟอร์มยักษ์สนุกๆเลย)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น